Author Archives: sarunyoo OF
6 ข้อไม่ควรทำ
ในการใช้งานแอร์ปรับอากาศ
6 ข้อไม่ควรทำในการใช้งานแอร์ปรับอากาศ
1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน
2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี
3. ไม่ได้ตรวจสอบตำแหน่งก่อนติดตั้งแอร์
4. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น
5.อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด
6. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า
1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน
2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี
นอกจากนี้ผู้ใช้งานบางคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็น จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไป ก็จะทำให้เครื่องทำงานหนักและกินไฟมากขึ้น เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดห้องของผู้ใช้งานโดยคำนวนจากสูตร
พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม
การประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง มีดังต่อไปนี้
- ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร
- ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร
- ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร
- ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร
- ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร
- ห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร
3. ไม่ได้ตรวจสอบตำแหน่งก่อนติดตั้งแอร์
4. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น
5. อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด
6. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า
ใช้งานแอร์อย่างไร
ให้ประหยัดไฟ และถูกต้องที่สุด
ใช้งานแอร์อย่างไรให้ประหยัดที่สุด
ผู้ใช้งานหลายๆท่านคงเคยมีปัญหากลุ้มอกกลุ้มใจ ทุกสิ้นเดือนเวลาได้รับบิลค่าไฟ ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ มาจากปัญหา แอร์กินไฟ ที่พยายามประหยัดสุด ๆ แล้วค่าไฟก็ยังแพงเกินรับไหวอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนี้มาลองเช็คกันหน่อยดีกว่าครับว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง และมีวิธี ใช้งานแอร์แบบประหยัด วิธีไหนบ้างที่ยังไม่ได้ลองทำ
1. ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในที่ร่ม และอากาศถ่ายเท
สำหรับในกรณีที่กำลังจะติดตั้งแอร์ตัวใหม่ หรือรีโนเวทบ้านแล้วต้องการย้ายตำแหน่งการติดตั้งแอร์อยู่แล้วก็แนะนำให้ลองตรวจสอบดูเรื่องของการติดตั้งคอมเพรสเซอร์ว่ามีการติดตั้งในบริเวณที่เหมาะสมหรือไม่ โดยตำแหน่งที่เหมาะสมคือการติดตั้งในพื้นที่ที่เป็นที่ร่ม และอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะคอมเพรสเซอร์มีหน้าที่ในการระบายความร้อนโดยตรง จึงไม่ควรติดตั้งในพื้นที่อับ อากาศไม่ค่อยถ่ายเท หรือพื้นที่ที่ได้รับแดดโดยตรง รวมถึงบริเวณดาดฟ้า หรือพื้นปูนที่ต้องตากแดดตากฝนอยู่เป็นประจำด้วยครับ
2. ล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ
บ้านไหนที่ติดตั้งแอร์มาสักระยะแล้ว และได้มีการใช้งานแอร์อย่างต่อเนื่องมาสักพักก็อาจจะสังเกตได้ว่าแอร์ที่ใช้อยู่มีความสามารถในการทำความเย็นลดลง นั่นเพราะเมื่อใช้งานมาสักพักจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปสะสมในตัวแอร์ หากปล่อยให้สะสมไว้นาน ๆ ก็จะไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์แอร์ รวมถึงส่วนต่าง ๆ ถือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของแอร์ที่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าเดิม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ แอร์กินไฟ กว่าปกติครับ อีกทั้งหากฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำหยดตามมาอีก
โดยทั่วไปแล้วการล้างแอร์ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่หากติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่เป็นปัจจัยให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติอย่างเป็นห้องที่ติดถนน มีฝุ่นควันฟุ้งกระจายเป็นประจำ หรือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตก่อสร้างก็อาจจะต้องล้างแอร์ให้ถี่ขึ้น ประมาณทุก 2 – 3 เดือนก็ได้ครับ แต่สำหรับใครที่ยังไม่อยากเสี่ยงให้ช่างแอร์เข้ามาล้างแอร์ในช่วงที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่ หากมีอุปกรณ์ล้างแอร์ก็สามารถจัดการล้างแอร์ด้วยตัวเองได้ครับ หรืออาจเลือกทำความสะอาดในเบื้องต้นด้วยการล้างแผ่นกรองหยาบที่ติดอยู่หน้าเครื่อง ซึ่งจะช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ครับ
3. หลีกเลี่ยงการใช้แอร์ในพื้นที่เปิด
พื้นที่เปิดโล่งในบ้านอย่างโถงบันได หรือโถงทางเดินระหว่างห้องต่าง ๆ ที่ไม่มีประตูกั้น ถือเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานแอร์เท่าไรนัก เพราะนอกจากแอร์ที่เปิดจะไม่ค่อยเย็นแล้วยังทำให้แอร์ทำงานหนัก เป็นการเปลืองพลังงาน และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปัญหา แอร์กินไฟ ที่มีผลกระทบทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นด้วยครับ ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้งานแอร์ในพื้นที่แบบนี้จริง ๆ ก็อาจต้องลงทุนกับการปรับพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ปิดมิดชิดเสียก่อน
โดยการปรับพื้นที่ห้องให้มิดชิดอาจเลือกใช้ฉากกั้นห้อง PVC หรือใช้ผ้าม่านเนื้อหนาที่มีเส้นใยแบบถักทอแน่นมาช่วยปิดกั้นพื้นที่ที่ไม่จำเป็น รวมถึงการปิดม่านบริเวณหน้าต่างในห้องที่ใช้แอร์ด้วยครับ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้แอร์ทำงานหนักน้อยลง ความเย็นไม่ไหลออกนอกพื้นที่แล้ว ยังเป็นการช่วยลดการสะสมความร้อนภายในห้องจากแสงอาทิตย์ได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ
4. เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทก่อนเปิดแอร์
อีกหนึ่งวิธี เปิดแอร์แบบประหยัด ที่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน คือ การเปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องลมต่าง ๆ ภายในห้องให้อากาศที่อับอยู่ภายในห้องถ่ายเทออกไปด้านนอก และเปิดรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกให้หมุนเวียนเข้ามาภายในห้องแทน ซึ่งนอกจากวิธีนี้จะช่วยระบายกลิ่นอับต่าง ๆ ให้ออกจากห้องไปแล้วยังช่วยระบายความร้อนที่มีการสะสมอยู่ให้ออกไปด้วย ดังนั้น เมื่อเปิดใช้งานแอร์ก็จะช่วยให้แอร์ทำความเย็นได้เร็วขึ้น และไม่ทำงานหนักจนเกินไปนั่นเองครับ
5. ตั้งอุณหภูมิแอร์ให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส สักเล็กน้อย
เทคนิค เปิดแอร์แบบประหยัด ที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดกันมานานนั่นคือการเปิดแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส แต่แท้จริงแล้วอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสถือเป็นระดับอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกสบายมากที่สุด จนมีการแนะนำกันให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากลองปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นสักหน่อยที่ประมาณ 26 – 28 องศาเซลเซียส แล้วรู้สึกว่ายังสบายตัวอยู่ก็แนะนำให้ใช้งานที่อุณหภูมินั้น ๆ แทนครับ เพราะยิ่งแอร์ถูกตั้งอุณหภูมิสูงเท่าไหร่ก็จะทำให้ แอร์กินไฟ น้อยลงเท่านั้นครับ
6. เปิดพัดลมช่วยไปด้วยขณะเปิดแอร์
หนึ่งในเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ แอร์กินไฟ น้อยลง คือ การเปิดพัดลมไปด้วยในขณะที่เปิดแอร์นั่นเองครับ เพราะการเปิดพัดลมก่อนการเปิดแอร์จะช่วยไล่ความร้อนภายในห้องให้หมดไปก่อน ทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก และหากเปิดพัดลมไปด้วยในขณะเปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วถึงทุกมุมห้อง และรู้สึกเย็นสบายกว่าการเปิดใช้แอร์เพียงอย่างเดียวครับ
7. หลีกเลี่ยงการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในขณะเปิดแอร์
เนื่องจากแอร์มีหน้าที่ทำความเย็น และรักษาความเย็นภายในห้องให้คงที่ การนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนไปใช้งานในห้องแอร์จึงทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อคงความเย็นไว้ให้มากที่สุด และส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การรีดผ้าในห้องแอร์ หรือการทำอาหารจากกระทะไฟฟ้า หรือแม้แต่การใช้หม้อต้มน้ำเพื่อชงเครื่องดื่มในห้องแอร์จึงเป็นเรื่องที่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำครับ
8. หลีกเลี่ยงการเพิ่มความชื้นในห้องแอร์
นอกจากความร้อนต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้ามาในห้องแอร์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน คือ ความชื้นนั่นเองครับ โดยความชื้นที่ว่านี้อาจจะมาจากต้นไม้ภายในห้อง ภาชนะใส่น้ำต่าง ๆ เครื่องทำความชื้น หรือแม้แต่เสื้อผ้าเปียก ๆ ก็ถือเป็นแหล่งที่มาของความชื้นที่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น นั่นเพราะตามหลักการทำงานของแอร์จะต้องใช้พลังงาน 30% ในการทำความเย็นตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ และพลังงานอีก 70% ก็ต้องใช้ไปกับการกำจัดความชื้นต่าง ๆ ให้อากาศในห้องแห้งที่สุดครับ ดังนั้น การที่มีแหล่งความชื้นในห้องมาก ๆ จึงส่งผลทำให้ แอร์กินไฟ ได้มากเช่นกัน ใครที่ตกแต่งห้องด้วยต้นไม้ เลี้ยงปลาในห้อง ปิดประตูห้องน้ำไม่สนิท หรือตากผ้าในห้องเป็นประจำ ก็ควรต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ใหม่ครับ
9. ตั้งเวลาปิดแอร์ล่วงหน้าก่อนเลิกใช้งาน
นอกจากเทคนิค เปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ หลากหลายวิธีที่กล่าวมาแล้ว เทคนิคการปิดแอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เช่นกันครับ โดยเทคนิคง่าย ๆ ก็คือการวางแผนใช้งานแอร์ล่วงหน้า หรือการตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์นั่นเอง เช่น ก่อนตื่นนอน หรือก่อนออกจากห้องก็สามารถตั้งเวลาให้แอร์หยุดการทำงานก่อนเวลาสัก 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่มวลความเย็นยังคงกระจายตัวอยู่ภายในห้อง โดยอาจเปิดพัดลมเบา ๆ ช่วยกระจายความเย็นในระหว่างที่ปิดแอร์ไปแล้วแทนครับ
10. เปิดใช้งานแอร์เท่าที่จำเป็น
ไม่ว่าจะใช้เทคนิค เปิดแอร์แบบประหยัด ขนาดไหน หรือดูแลรักษาแอร์ดีแค่ไหน แน่นอนว่าวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดก็คือการเลือกเปิดใช้งานแอร์เท่าที่จำเป็น หรือใช้งานแบบพอดี ๆ นั่นเองครับ เพราะหลาย ๆ ครั้ง เหตุผลที่คนเราเปิดแอร์ไม่ได้มาจากความรู้สึกร้อน แต่มาจากความเคยชินที่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา แม้ว่าอากาศจะไม่ได้ร้อนมากก็ตาม หรือรวมไปถึงการเปิดใช้งานแอร์ภายในบ้านหลาย ๆ ห้องพร้อม ๆ กันด้วยครับ ดังนั้น หากบริหารการใช้งานแอร์ให้ดี ๆ ให้สมาชิกภายในบ้านอยู่รวมกันในห้องเดียวเพื่อเปิดแอร์เครื่องเดียว หรือเลือกเปิดแอร์เฉพาะช่วงเวลากลางวันที่ร้อนจริง ๆ ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากเลยครับ
ช่างแอร์ปลอดภัยไร้เชื้อ
ช่างแอร์ปลอดภัยไร้เชื้อ
ช่างแอร์ ทุกคนมีการตรวจวัดเชื้อโควิด-19 ก่อนเริ่มปฏิบัติงานประจำวันที่ 1,11,21 ของทุกเดือนเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า พนักงานของเราปลอดภัยไร้เชื้อ พร้อมปฏิบัติงานให้กับคุณลูกค้า ไว้วางใจเราได้ในทุกสถานการณ์
ด้วยมาตรฐานความปลอดภัย เราคุมเข้มและตื่นตัวเสมอ
เราใส่ใจและคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของลูกค้าเป็นอันดับแรก
เลือกซื้อแอร์ อย่างไร ?
เทคนิค เลือกซื้อแอร์ ให้ประหยัดไฟ และเหมาะกับขนาดห้อง
เทคนิค เลือกซื้อแอร์ ให้ประหยัดไฟและเหมาะกับขนาดห้อง
OFair แนะนำการ เลือกซื้อแอร์ ไม่ว่าจะหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ หรือ Wrok Form Home ก็ตามแต่ ที่แน่ๆคือ แอร์ต้องเปิดในช่วงนี้ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้เพราะมันร้อนเหลือเกิน ถ้าไม่เปิดแอร์คงไม่มีสมาธิทำงาน ที่สำคัญตามมาซึ่งค่าไฟที่ต้องจ่ายตอนสิ้นเดือน ต่อให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือค่าไฟ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้เท่าไหร่
จะเป็นการดีกว่าหากเลือกใช้เครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้องและประเภทการใช้งาน เรามาดูกันดีกว่าเลือกซื้อแอร์ต้องคำนึงกี่เรื่อง อะไรบ้าง ?
เลือกซื้อแอร์ BTU คืออไร ?
BTU ย่อมาจาก British Themal Unit คือขนาดความสามารภการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ
โดย 1 ตันความเย็น = 12000 BTU
แอร์มีกี่ประเภท
แอร์แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ Econo Air และ Inverter Air ซึ่งก็จะมีหลักการทำงานที่ต่างกัน และใช้กับรูปแบบห้องที่ไม่เหมือนกัน
1. Econo Air
อีโคโน แอร์ เป็นแอร์ระบบธรรมดา มีลักษณะการทำงานจะเป็นแบบกำหนดอุณหภูมิคงที่ (Fixed Speed) กล่าวคือ ถ้าตั้งค่าความเย็นไว้ที่อุณหภูมิ 25 องศา คอมเพรสเซอร์ จะตัดการทำงานต่ำกว่าค่าอุณหภูมิที่ผู้ใช้ตั้งไว้ 1-2 องศา (ที่อุณหภูมิ 23-24 องศา) เพื่อให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำตลอดเวลา และเมื่อเวลาที่อุณหภูมิห้องสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบ 100%
แอร์ประเภทนี้ที่ช่องประหยัดไฟเบอร์ 5 จะมีตัวอักษร EER (Energy Efficiency Ratio) ที่ช่องประสิทธิภาพ จะมีตัวเลขเขียนไว้ ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งประหยัดไฟมากนั่นเอง ข้อเสียของ Econo Air เวลาคอมเพรสเซอร์ตัดการทำงานเพราะอุณหภูมิได้ระดับแล้วนั้น เมื่ออุณหภูมิกลับมาเกินระดับที่ตั้งไว้ 1-2 องศา คอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานอีกครั้งทำให้เปลืองไฟเสมือนรถวิ่งแล้วจอดเรื่อย ๆ
ที่สำคัญเมื่ออากาศสลับเย็น ร้อนไม่คงที่ตลอดเวลาแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เวลานอนอาจหลับๆ ตื่นๆได้ทั้งยังมีเสียงดังจากการกระชากไฟทุกครั้งเมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน
2. Inverter Air
อินเวอร์เตอร์ เป็นแอร์ที่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยตัวเองตามสภาพแวดล้อม จะมีตรวจจับอุณหภูมิอยู่หลายตัวทำให้ได้ค่าที่แม่นยำ ความเย็นในห้องจะเสถียรกว่า ระบบการทำงานของ Inverter Air คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงานที่ 120% และเมื่อห้องมีอุณหภูมิลดลงตามผู้ใช้กำหนดคอมเพรสเซอร์ก็จะไม่หยุดการทำงานเพียงแต่จะลดรอบการทำงานลงทำให้ไม่กินไฟเหมือนกับ Econo Air ไม่เกิดการกระชากไฟ เครื่องทำงานเงียบ อุณหภูมิเย็นสม่ำเสมอ
เทคนิคการเลือกซื้อแอร์ ?
เมื่อเราทราบแล้วว่าแอร์มี 2 ประเภทหลักๆ แต่การเลือกซื้อแอร์นั่นยังมีตัวประกอบการตัดสินใจอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
1. ขนาดห้อง
11-14 ตร.ม = 9000 BTU
14-18 ตร.ม = 12000 BTU
21-27 ตร.ม = 18000 BTU
25-32 ตร.ม = 21000 BTU
28-36 ตร.ม = 24000 BTU
30-39 ตร.ม = 25000 BTU
35-45 ตร.ม = 30000 BTU
42-54 ตร.ม = 35000 BTU
56-72 ตร.ม = 48000 BTU
2. ประเภทการใช้ของห้อง
รู้หรือไม่ ?
น้ำยาแอร์ มีอายุการใช้งานเท่าไหร่ ?
จำเป็น .. ต้องเติม น้ำยาแอร์ ไหม ?
ลูกค้าหลายๆท่านที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเติม น้ำยาแอร์ ยังมีความสงสัยว่าต้องเติมน้ำแอร์ไหม ต้องเติมน้ำยาแอร์ตอนไหน น้ำยาแอร์หายไปได้ยังไง แอร์ไม่เย็นเติมน้ำยาแอร์เข้าไปเลยได้หรือป่าว หรือหลายๆครั้งที่ลูกค้าต้องตกเป็นเหยื่อของช่างแอร์ในคราบโจรที่หลอกเติมน้ำยาแอร์ให้เราไปบ้าง
หากว่าลูกค้าท่านไหนมีความสงสัยแบบนี้อยู่ วันนี้ผมจะมาเจาะลึกว่าเราควรเติมน้ำยาแอร์ หรือไม่!! กันครับ
ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าน้ำยาแอร์เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้แอร์บ้านของเรามีความเย็นออกมา หากขาดสิ่งนี้ไปแอร์บ้านของเราก็อาจจะไม่มีความเย็นออกมา หรืออาจจะเป็นปัจจัยอื่นๆที่ทำให้แอร์ไม่เย็นก็เป็นได้ จะว่าไปแล้วระบบน้ำยาของแอร์บ้านโดยทั่วไปแล้วเราเรียกกันว่า ระบบกึ่งปิดกึ่งเปิด ซึ่งไม่ใช่ระบบปิดที่สมบูรณ์ ซึ่งนั้นก็ทำให้ระบบน้ำยามีโอกาสที่จะรั่ว หรือซึมออกไปได้ ไม่แปลกอะไรครับ แต่ .. เดี๋ยวก่อนครับ ไม่ใช่ว่าแอร์ทุกเครื่องจะมีโอกาสรั่ว หรือซึมเหมือนกันทั้งหมด หากได้รับการติดตั้งที่ดี ผลิตภัณฑ์ที่ดี โอกาสที่น้ำยาแอร์จะรั่ว หรือซึมหายไป ก็เป็นไปได้น้อยมากครับ
น้ำยาแอร์เติมแล้วใช้งานได้นานเท่าไหร่ น้ำยาหมดมีจริงไหม ?
มาถึงคำถามที่หลายคนอยากรู้ นั่นก็คือเรื่องของการเติมน้ำยาแอร์ ว่าเราควรจะเติมน้ำยาแอร์บ่อยแค่ไหน บางคนบอกว่าน้ำยาแอร์โดยปกติแล้วไม่ต้องเติมกันบ่อยๆ สาเหตุที่ต้องเติมบ่อยเนื่องมาจากระบบทำงานผิดปกติหรือเกิดอาการรั่วเสียมากกว่า วันนี้เราจะมาไขข้อข้อใจและข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาการเติมน้ำยาแอร์กัน
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องของการเติมน้ำยา มาเริ่มกันที่การทำความเข้าใจกับระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่เราเรียกว่าแอร์กันก่อน แอร์นั้นประกอบด้วยระบบการทำงาน 3 ส่วน คือ คอนเดนซิ่ง คอมเพรสเซอร์ และที่ช่วยควบคุมการระเหย โดยทั้ง 3 ส่วนต้องทำงานประกอบกันเป็นปกติถึงจะทำให้เกิดความเย็นได้ โดยใช้สารให้ความเย็นที่เรียกว่าน้ำยาแอร์เปลี่ยนให้อากาศร้อนจากภายนอกเป็นของเหลวก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นส่งผ่านออกไปอีกขั้นตอนหนึ่ง ส่วนคอมเพรสเซอร์กับคอนเดนซิ่งก็คือส่วนของแอร์ที่มีพัดลมวางอยู่ข้างนอก ทำหน้าที่เปลี่ยนอากาศภายนอกที่มีความดันต่ำเป็นของเหลวด้วยความดันสูงไหลเข้าสู่คอนเดนซิ่งเพื่อกรองเอาความร้อนจากของเหลวออกไปไม่ให้เกิดการระเหย จากนั้นของเหลวจะไหลต่อเข้าไปที่ส่วนควบคุมการระเหยที่อยู่ภายในเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นออกมาจากเครื่องปรับอากาศให้เราได้มีอุณหภูมิที่เย็นฉ่ำอย่างสบายกันในทุกวันนั่นเอง
ส่วนข้อเท็จจริงสำหรับการเติมน้ำยาแอร์คือความระบบน้ำยาแอร์นั้นเป็นระบบปิด โดยปกติแล้วถ้าแอร์ทำงานและให้ความเย็นตามปกติหรือท่อน้ำยาแอร์ไม่รั่วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมน้ำยาแต่อย่างใด ส่วนการระเหยของน้ำยาแอร์ที่จะทำให้น้ำยาแอร์มีปริมาณลดลงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้แต่ระยะเวลานานมาก คำถามที่ว่าทำไมเวลามีช่างมาล้างแอร์แล้วถึงชอบบอกว่าน้ำยาแอร์ขาดต้องเติมเพิ่มอันนี้จะโดนช่างหลอกใช่หรือไม่ ข้อนี้คำตอบคือทั้งเป็นไปได้และอาจจะโดนหลอกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ควรจะมีไว้ติดตัวอีกอย่าง คือ การตรวจเช็คน้ำยาแอร์ด้วยตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่โดนช่างหลอกอีกต่อไป วิธีการก็คือ เปิดแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจนแอร์เย็น แล้วไปเช็คตรงตู้คอมเพรสเซอร์ถ้าพัดลมทำงานแล้วมีลดร้อนปล่อยออกมาแสดงว่าแอร์ทำงานตามปกติ ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำยาแอร์ แต่หากลมที่ออกมาจากคอมเพรสเซอร์เย็นแสดงว่าน้ำยาแอร์น้อยหรือคอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ อาจจะต้องเรียกว่าแอร์มาตรวจสอบว่ามีน้ำยาแอร์รั่วหรือเปล่า ส่วนการตรวจเช็คอีกวิธีหนึ่งคือให้สังเกตท่อน้ำยาแอร์ด้านนอกว่ามีน้ำแข็งเกาะหรือไม่หากพบว่ามีน้ำแข็งเกาะอาจเป็นไปได้ว่าน้ำยาแอร์ขาดเนื่องจากท่อแอร์รั่วเช่นกัน
น้ำยาแอร์ก็คือสารเคมีชนิดหนึ่งที่ผสมผสานกันจนกลายเป็นน้ำยา มีคุณสมบัติทำความเย็นได้ ถ้าถามว่าน้ำยาแอร์สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบของผมคือ อาจจะนานกว่าอายุแอร์ที่เราใช้อีกครับ หรือว่าแอร์พังแล้ว น้ำยาแอร์ยังอยู่ในระบบเลยครับ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าหากไม่มีการรั่ว หรือมีจุดซึม น้ำยาแอร์ก็สามารถใช้ไปได้นานๆเลยครับ
น้ำแอร์หยด เกิดจากอะไร ?
วิธีแก้ไขปัญหา น้ำแอร์หยด น้ำแอร์รั่วไหลเบื้องต้น
ปัญหา น้ำแอร์หยด น้ำแอร์รั่วไหลตามท่อ
สาเหตุ
1. เกิดจากถาดหรือท่อทิ้งน้ำนั้นตัน ทำให้น้ำที่เกิดจากกระบวนการฟอกอากาศ ไม่สามารถระบายออกไปได้ จึงล้นและไหล ย้อนกลับมา กลายเป็นน้ำที่หยดซึมมาจากตัวแอร์ในที่สุด
2. ถาดคอยล์ด้านหลังของแผงคีบแอร์นั้นเกิดตัน และทำให้เกิดมีหยดน้ำเกาะอยู่นอกตัวแอร์
3. ถาดน้ำทิ้งเกิดการชำรุด เช่นหลุด หรือแตก
4. การเดินท่อภายในของช่างนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้หุ้มท่อไม่ได้มาตรฐาน และเกิดหยดน้ำเกาะรอบๆ ตัวจนหยดออกมานอกตัวแอร์ได้ในที่สุด
6 วิธีแก้ไข ดังนี้
2. แก้ไขโดยการล้างแอร์
3. หากแอร์นั้นมีความสกปรกมาก
4. อีกสาเหตุที่พบได้บ่อยคือน้ำยาแอร์มีน้อยจนเกินไป
5. ตรวจดูว่าภายในเครื่อง
6. ตรวจดูถาดน้ำทิ้ง
ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้
นัดหมายล้างแอร์
Line : @OFair
Tel : 02-933-6200
มือถือ : 085-118-3546
โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น
ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น
5 วิธีแก้ปัญหา แอร์ไม่เย็น
แก้ปัญหา แอร์ไม่เย็น เบื้องต้นด้วยตัวเอง
แอร์ไม่เย็น แก้ปัญหาอย่างไร ?
การแก้ปัญหาเบื้องต้นแอร์ไม่เย็น
เคยมั้ยที่ใช้แอร์ไปเรื่อยๆแล้วรู้สึกว่า แอร์ไม่เย็น ทั้งๆที่เพิ่งซื้อมาไม่นาน หรือบางคนเพิ่งจะล้างแอร์ไปด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะทำยังไง ต้องโทรเรียกช่างมั้ย ต้องซื้อใหม่หรือเปล่า ไม่ต้องกังวลใจไป เราต้องดูก่อนว่าสาเหตุที่แอร์ไม่เย็นคืออะไร สามารถแก้ไขเองได้หรือไม่
ทำไมแอร์ถึงไม่เย็น ?
สำหรับปัญหาของแอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแอร์ไม่เย็น แอร์เย็นช้า แอร์ไม่ค่อยเย็นหรือเย็นน้อยลงไม่ได้เย็นเจี๊ยบฉ่ำใจเหมือนเมื่อก่อน มันก็มาจากสาเหตุหลายประการ เช่น อาจจะมีการปรับรีโมทโดยที่ไม่รู้ตัวจนทำให้แอร์ไม่เย็น หรือเย็นมากเกินปกติ หรืออาจจะเป็นเพราะคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานหรือทำงานผิดพลาด หรืออาจจะเป็นเพียงน้ำยาแอร์หมดหรือมีน้ำยาแอร์น้อยเกินไป นอกจากนั้นก็ยังมาจากปัญหาใหญ่ๆ เช่น แอร์มีรอยรั่ว ซึ่งปัญหานี้ทางที่ปลอดภัยก็ควรเรียกช่างมาแก้ไขจะดีกว่า และสาหตุหลักๆ อีกประการ เช่น เรื่องของการปรับโหมด ไปจนถึงแอร์สกปรกเพราะไม่ได้ล้างมานาน
สาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็น
ไม่เติมน้ำยาแอร์ น้ำยาแอร์เป็นสารที่ช่วยทำความเย็น ถ้าแอร์ไม่เย็นขึ้นมา สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากน้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ แต่ถ้าเพิ่งเติมน้ำยาแอร์ไม่นานแต่ไม่เย็น ลองสังเกตดูว่ามันรั่วหรือไม่ น้ำยาแอร์ตันหรือไม่ เพราะสาเหตุเหล่านี้ทำให้น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอที่จะทำความเย็นนั่นเอง
ไม่ได้ล้างแอร์นานเกินไป จนทำให้สิ่งสกปรก ฝุ่น รวมไปถึงเชื้อโรคเข้าไปอุดตันคอมเพรสเซอร์แอร์ แอร์จึงไม่สามารถทำความเย็นได้ดีเท่าที่ควร การล้างแอร์ตามเวลาที่เหมาะสมควรทำทุกๆ 4 – 6 เดือน
มีสิ่งกีดขวางทางลมของแอร์ ทางเดินของอากาศเป็นส่วนสำคัญสำหรับกระจายความเย็น เช่น มีฉากกั้นตั้งอยู่ทำให้แอร์ไม่กระจายความเย็น เย็นแค่จุดเดียว
เปิดรีโมทพัดลมโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นโหมดที่มีเพียงลมออกมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากไปเปิดโหมดพัดลม ก็จะมีลมออกมาแต่แอร์ก็ไม่ปล่อยลมเย็น
มีคนอยู่ในห้องมากเกินไป เมื่อมีคนอยู่ในห้องมาก ก็มีการแย่งอากาศหายใจ ยิ่งเมื่ออยู่ในหน้าร้อนแบบนี้จึงยิ่งทำให้แอร์เย็นไม่ทันใจ
เมื่อเราทราบถึงสาเหตุของแอร์ไม่เย็นแล้ว เราลองเช็กแอร์ของเราดูก่อนว่าสภาพเป็นอย่างไร การตัดล้าง หรือล้างแอร์ อาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่คุณกำลังตามหา
1. เช็กรีโมทแอร์
หลายต่อหลายครั้งที่เราพบว่าสาเหตุที่แอร์ไม่เย็น เพราะตั้งโหมดผิด เมื่อแอร์ไม่เย็น ให้สังเกตที่รีโมทแอร์เป็นอันดับแรกเลยว่าตั้งรีโมทแอร์ในโหมดพัดลมหรือไม่ ถ้าใช่ รีบกลับไปที่โหมด Cool Mode หรือโหมดแอร์ทำงานปกติด่วนๆ เลย
2. เช็กอุณหภูมิสภาพอากาศนอกห้อง
เมื่อเรารู้สึกว่าแอร์ของเรานั้นไม่เย็นเท่าที่ใจต้องการ ลองตรวจดูสภาพแวดล้อมภายนอกห้องด้วยว่าอากาศเป็นอย่างไร อย่างเช่นช่วงนี้เป็นฤดูร้อน อากาศร้อน แอร์จึงไม่อาจทำความแย็นได้เท่าที่เราต้องการ อาจจะต้องลดอุณหภูมิให้เย็นลงมานิดหน่อย แต่ก็ต้องแลกกับค่าไฟที่สูงกว่า
3. เช็กเครื่องกรองอากาศ
ที่ต้องเช็กที่ฟิลเตอร์หรือแผ่นกรองอากาศของแอร์ (คอยล์เย็น) เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะมีฝุ่นเกาะบังทางลมแอร์อยู่ทำให้แอร์ไม่เย็น ถ้าเจอแบบนี้วิธีแก้คือถอดมาล้างน้ำเปล่าให้สะอาด และตามหลักควรถอดฟิลเตอร์มาล้างทุกสัปดาห์
4. เช็กคอมเพรสเซอร์
แอร์บางยี่ห้อจะมีระบบป้องกันไฟตก ทำให้เวลาไฟจ่ายมาที่ตัวแอร์ (คอยล์เย็น) ทำงานแต่คอมเพรสเซอร์นอกบ้าน (คอยล์ร้อน) ไม่ทำงาน วิธีเช็กว่าคอมเพรสเซอร์ทำงานปกติอยู่หรือไม่ ให้ลองสับเบรกเกอร์ของแอร์ลงแล้วค่อยยกขึ้นกลับมาที่เดิม ถ้าแอร์กลับมาเย็นก็แปลว่าไม่มีปัญหาอะไร
5. เช็กว่าล้างแอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ถ้าแอร์สกปรกทั้งด้านนอกและด้านใน หรือถ้าไม่เคยล้างแอร์มาเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดคราบฝุ่นสะสมจนเกิดการอุดตันข้างในจนทำให้แอร์ไม่สามารถทำความเย็นได้อย่างเต็มที่ โดยปกติเราควรล้างแอร์ ทุกๆ 4 – 6 เดือน อย่างไรก็ตามสิ่งนี้สามารถเช็กได้ง่ายๆ ด้วยการเปิดหน้ากากแอร์ออก ก็จะเห็นสภาพความสกปรกได้ชัดเจน
ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้
นัดหมายล้างแอร์
Line : @OFair
Tel : 02-933-6200
มือถือ : 085-118-3546
โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น
ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น
7 ประโยชน์ ล้างแอร์
กับ OF Air ได้อะไรบ้าง ?
7 ประโยชน์ ล้างแอร์ OF Air ได้อะไรบ้าง ?
1. ช่างที่มีประสบการณ์ ยาวนาน ทำงานด้วยมาตรฐานการล้างแอร์ที่ถูกต้อง
2. ช่างมีความปลอดภัย ไม่อันตราย ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
3. ก่อนเริ่มงาน เราตรวจเช็คสภาพแอร์ทุกครั้ง เพื่อให้คำแนะนำในเรื่องการดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงอย่างถูกวิธี
4. ใส่ใจทุกขั้นตอนการปฏิบัติงาน พิถีพิถันทุกรายละเอียด
5. เก็บกวาดทำความสะอาด ตั้งแต่เริ่มงานจนจบขั้นตอนการทำงาน
6. รับประกันหลังปฏิบัติงาน ถ้าเกิดปัญหาหรือมีข้อบกพร่อง เรายินดีแก้ไข ทุกกรณี
7. มีทีมงานซัพพอร์ต ที่จะคอยตอบคำถามหรือนัดหมายล้างแอร์ตลอดเวลา
1. ช่างที่มีประสบการณ์ ยาวนาน
ทำงานด้วยมาตรฐานการล้างแอร์ที่ถูกต้อง
- ช่างของเรา มีประสบการณ์ การทำงานที่ยาวนาน มีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางเป็นพิเศษ
- สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที
- ตรวจสอบและวิเคราะห์อาการเบื้องต้น เพื่อแจ้งปัญหาที่ตรงจุดให้กับคุณลูกค้า
- คล่องแคล่ว ว่องไว ทำงานอย่างมืออาชีพ
2. ช่างมีความปลอดภัย ไม่อันตราย
ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
- ตรวจประวัติอาญากรรม 100% เพื่อ ความปลอดภัยในทรัพย์สิน ของท่าน
- พูดจาดี แต่งกายสุภาพ
- เน้น มารยาท การพูดจา ของทีมช่างแอร์
- แต่งกายด้วยเครื่องแบบ OF AIR
3.1 เริ่มต้นด้วย ตรวจเช็คสภาพ โดยรวม
- ตรวจเช็ค สภาพภายนอก, ระบบไฟฟ้า, ระบบมอเตอร์, ความเย็นกว่า แอร์ยังทำงานปกติ หรือไม่
- หากตรวจพบปัญหา จะได้เสนอวิธีการแก้ไข ต่อไป
3.2 ป้องกัน พื้นและเฟอร์นิเจอร์
- ปูพื้น ด้วยผ้าร่มกันน้ำ และผ้าห่มกันรอย จากบันไดเพื่อป้องกัน พื้นห้อง จากรอยขีดข่วน
- คลุมแอร์ ด้วยผ้าใบล้างแอร์ เพื่อป้องกัน เฟอร์นิเจอร์ และกำแพง จากสิ่งสกปรก
4. ใส่ใจทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานพิถีพิถันทุกรายละเอียด
4.1 ล้างแอร์ ส่วนแผงคอยด์เย็น (ด้านในอาคาร) เปิดฝาครอบ และทำความสะอาด ด้วยน้ำเปล่า
- ฉีดพ่น แผงคอยด์เย็น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อฆ่าเชื้อโรค ภายในแอร์
- ล้าง แผงคอยด์เย็น, ถาดน้ำทิ้ง ด้วยน้ำแรงดันสูง เพื่อขจัดสิ่งสกปรก และล้างน้ำยาฆ่าเชื้อโรคออก
- เช็ด ชิ้นส่วนภายใน ด้วยผ้าแห้ง เพื่อความสะอาด แห้ง และเรียบร้อย
- เป่าลม ชิ้นส่วนภายใน ด้วยเครื่องเป่าลม เพื่อไล่ความชื้นออกไปให้หมด
- ฉีดพ่น แผงคอยด์เย็น อีกครั้ง ด้วยโฟมลดกลิ่นอับ เพื่อป้องกันกลิ่นอับ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
- ปิดฝาครอบแอร์ และเช็ดทำความสะอาดแอร์ ด้วยผ้าแห้ง เพื่อความเรียบร้อย
- เก็บกวาด เศษวัสดุ ฝุ่นผง จากการทำงาน
- เลื่อน เฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ กลับเข้าตำแหน่งเดิม เพื่อให้สภาพหน้างาน กลับมาเหมือน ก่อนการทำงาน ทุกประการ
4.2 ล้างแอร์ ส่วนแผงคอยด์ร้อน (ด้านนอกอาคาร)
- ล้าง แผงคอยด์ร้อน ทั้งภายในและภายนอก ด้วยน้ำแรงดันสูง
เพื่อขจัดฝุ่น และสิ่งสกปรก ออก
- ล้าง แผงคอยด์ร้อน ทั้งภายในและภายนอก ด้วยน้ำแรงดันสูง
5. เก็บกวาดทำความสะอาดตั้งแต่เริ่มงานจนจบขั้นตอนการทำงาน
- เก็บกวาด อะไหล่ เศษวัสดุ ฝุ่นผง จากการทำงาน ทั้งภายในอาคาร และนอกอาคาร
- เลื่อน เฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ กลับเข้าตำแหน่งเดิม เพื่อให้สภาพหน้างาน กลับมาเหมือน
ก่อนการทำงานทุกประการ
หรือมีข้อบกพร่องเรายินดีแก้ไข ทุกกรณี
- เปิดบริการทุกวัน ไม่มีวันหยุด
- ฟรี ตรวจเช็คสภาพแอร์ : ระบบไฟฟ้า, มอเตอร์, ความเย็น
- ล้างแอร์ ด้วยปั๊มแรงดันสูง
- ปูผ้า ป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้น ทุกครั้ง
- ล้างแอร์ ทั้งคอยด์เย็น ในตัวอาคาร และคอยด์ร้อน นอกอาคาร
- ราคามาตราฐาน ไม่คดโกง : ดำเนินการในรูปแบบบริษัท
- นัดล้างด่วน ได้ล้างในวันเลย | นัดเช้า ล้างบ่าย ได้เลย
- ไม่ต้องวางเงินมัดจำ ก่อนเข้าล้างแอร์
- รับประกัน งานล้าง 30วัน งานซ่อม 90 วัน
7. มีทีมงานซัพพอร์ต ที่จะคอยตอบคำถาม
หรือนัดหมายล้างแอร์ตลอดเวลา
- เรามีทีมงานที่คอยซัพพอร์ต ตอบคำถามหรือนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ
ให้กับคุณลูกค้าตลอด 24 ชม. - Line : @OFair
- Tel : 02-933-6200
- มือถือ : 085-118-3546
- เรามีทีมงานที่คอยซัพพอร์ต ตอบคำถามหรือนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ
โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น
ดูรายละเอียด ล้างแอร์แต่ละประเภท
ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น
- 1
- 2