Category Archives: สาระความรู้

ประโยชน์ล้างแอร์หน้าหนาว

ล้างแอร์ ประโยชน์ล้างแอร์หน้าหนาว 5

ประโยชน์ ล้างแอร์

ในหน้าหนาว มีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของการล้างแอร์หน้าหนาว

การล้างแอร์ในหน้าหนาวที่จะถึงนี้ดีอย่างไร OF Air Service รวบรวมประโยชน์ของการล้างแอร์ หน้าหนาวมานำเสนอความรู้นี้ถึงคุณลูกค้าและผู้ใช้งาน แอร์ปรับอากาศเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป

โดยปกติแล้วในฤดูหนาว จะมีความชื้นในอากาศมากกว่าปกติ ทำให้เชื้อโรค แบคทีเรีย, รา, ไวรัส (และโควิด-19) สามารถเจริญเติบโตได้ในอุณภูมิที่ต่ำ อาจมีการสะสมของเชื้อโรคมาในระยะหนึ่งแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่จะล้างแอร์สักครั้ง

ซึ่งตัวแอร์มักจะมีความชื้นอยู่แล้ว ลูกค้าบางท่านไม่ได้ล้างแอร์ด้วยวิธีแกะล้าง ตัดล้าง หรือล้างทั้งระบบ บรรดาเศษฝุ่นผง เศษผม เศษขนสัตว์ หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ถูกดูดเข้าไปรวมตัวกันอยู่ที่แผ่นกรองแอร์ ลึกไปถึงด้านในที่ไม่สามารถใช้เพียงน้ำฉีดพ้น เพื่อชะล้างได้ กลายเป็นจุดสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโรคในท้ายที่สุด !!!!

ส่งผลเสียที่ตามมามากมาย

  • แอร์เหม็นอับ
  • แอร์รั่ว
  • แอร์น้ำหยด
  • แอร์ไม่เย็น
  • แอร์ทำงานเสียงดัง
  • แอร์มีน้ำแข็งเกาะ
ล้างแอร์ ประโยชน์ล้างแอร์หน้าหนาว 7

ข้อดีของการล้างแอร์ในหน้าหนาวคือ

  • แก้อาการเหม็นอับ
  • ลดความเสี่ยงการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้
  • ลดการสะสมของฝุ่น เชื้อโรค เชื้อไวรัส PM 5
  • ถึงเวลาตรวจเช็คสภาพแอร์ไปในตัว หลังจากผ่านการใช้งานมาอย่างหนักในช่วงหน้าร้อน
  • ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า และยืดอายุการใช้งานของแอร์
  • ที่สำคัญ คิวไม่เยอะ ราคาดี โปรโมชั่นดี

ประโยชน์ของการล้างแอร์หน้าหนาว

ที่สำคัญคือ ในภาวะอุณหภูมิต่ำ กรดเกลือที่เกราะอยู่ตามแผงฟินจะเจริญเติบโตขึ้นเลื่อยๆ และสามารถกัดกร่อนทำให้เกิดปัญหาแอร์รั่วได้ ดังนั้น การล้างแอร์ จึงช่วยยืดอายุการใช้งานของแผงคอยล์เย็นไปในตัว และยังช่วยลดกลิ่นอับได้อีกด้วย

โดยปกติแล้ว ความถี่ในการล้างแอร์จะอยู่ที่ 3-6 เดือน/ครั้ง ช่วยประหยัดไฟ และยืดอายุการใช้งานมากขึ้น เพราะการล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ ทำให้แอร์เย็นฉ่ำ อากาศภายในห้องสดชื่น จะทำให้การทำงานของคอมเพรสเซอร์และคอยล์เย็น คอยล์ร้อนมีประสิทธิภาพดี ช่วยประหยัดไฟได้ดียิ่งขึ้น

อีกทั้งยังป้องกันฝุ่น PM 2.5 ในหน้าหนาวมีลมพายุเยอะ ส่งผลให้ ลมหนาวหอบฝุ่นมาถึงตัวเราได้ จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมในการล้างแอร์ในครั้งนี้

 

สรุป : ประโยชน์หลักๆ ของการล้างแอร์หน้าหนาว

คือลดความเสี่ยงของการเจริญเติบโตของเชื้อโรค กรดเกลือที่เกราะตามแผงฟิน ที่อาจจะส่งผลเสียกับตัวแอร์ในระยะยาว เช่น แอร์รั่ว แอร์เหม็นอับ แอร์ไม่เย็น เป็นต้น จึงแนะนำอย่างยิ่งในการล้างแอร์ในหน้าหนาว เพื่อเตรียมความพร้อมของตัวแอร์ และเป็นการรีเช็คระบบการทำงานของแอร์ทั้งหมดว่าอยู่ในสภาพที่ปกติหรือไม่ โดยวิธีการตัดล้างทั้งระบบเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการล้างแอร์ทั้งระบบ และได้ตรวจเช็คในทุกจุดที่การล้างทั่วไปเข้าไม่ถึงอีกด้วย

 OF Air เราจึงมีช่างผู้เชี่ยวชาญ คอยให้บริการ ล้างแอร์ ถอดแอร์ ติดตั้งแอร์ และโยกย้าย แบบครบวงจร

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

แอร์จับตัวเป็นน้ำแข็ง

น้ำแข็งเกาะ 3

แอร์น้ำแข็งเกาะ

ปัญหาแอร์จับตัวเป็นน้ำแข็ง แก้ไขอย่างไร

สาเหตุที่ แอร์จับตัวเป็นน้ำแข็ง

1. แอร์ตัน รังผึ้งตัน
มีฝุ่นและสิ่งสกปรก เข้าไปปิดบังการระบายลม ที่รังผึ้งทำความเย็น

2. น้ำยารั่ว น้ำยาซึม ที่คอยล์เย็น
ระบายลม ที่อาจจะมีเสียงน้ำเข็งร่วง ในตัวแอร์

3. Compressor มีกำลังอัดน้อย
เกิดความขัดข้อง หากชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ส่วนใดของแอร์เกิดความขัดข้อง จะทำให้แอร์เป็นน้ำแข็งได้ เช่น แผงกรองอากาศเกิดการอุดตัน หรือแผงคอยล์สกปรก จึงไม่สามารถสร้างความเย็น จนแอร์เป็นน้ำแข็ง หรือเทอร์โมนิเตอร์ไม่ยอมตัด ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานตลอดเวลา

4. ใช้งานหนัก
หากมีการใช้งานแอร์หนัก หรือมากเกินไป ขาดการดูแล เช่น ไม่ได้รับการล้างแอร์ ทำความสะอาด หรือการตรวจเช็คในส่วนต่างๆ ก็จะทำให้แอร์เป็นน้ำแข็งได้

5. พัดลมคอยล์เย็นหมุนช้า
พัดลมคอยล์เย็นหมุนช้าลง หรือไม่ยอมหมุน ทำให้ความเย็นไม่ถูกนำออกไป ข้างนอก จึงจับตัวเป็นน้ำแข็ง

ปัญหาที่ตามมาจากแอร์เป็นน้ำแข็ง

1. แอร์เสีย

ถ้าปล่อยให้เกิดอาการน้ำแข็งเกาะนาน โดยไม่แก้ไข จะทำให้ ระบบการทำงานของแอร์เสียหาย รวมไปถึงอุปกรณ์ ชิ้นส่วนต่างๆ เกิดการเสื่อมสภาพ และทำให้แอร์เสียหายในท้ายที่สุด

2. แอร์ไม่เย็น

เป็นเรื่องปกติถ้าเกิดปัญหาน้ำแข็งเกาะ เพราะไปอุดตันแผงคอยล์เย็น หรือแผงรังผึ้งทำให้ แอร์ไม่มีการระบายความเย็น หรือลมเย็นออกมาได้ ทำให้แอร์เย็นช้ากว่าปกติ

3. ค่าไฟเพิ่มขึ้น

สิ่งที่จะตามในทุกๆเดือนคือ ค่าไฟของท่านจะเพิ่มขึ้น เพราะการทำงานของแอร์ที่มากขึ้น ทำให้กินค่าไฟจำนวนมาก เกิดจากคราบสิ่งสกปรก ที่อุดตันเป็นเวลานาน ส่งผลให้แอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

4. แอร์น้ำหยด

เมื่อเกิดปัญหาน้ำแอร์เกาะนานๆ ทำให้แอร์อุดตันบนหน้าแผงรังผึ้ง ปัญหาต่อมาคือน้ำแอร์จะเกิดการรั่วซึมและจะหยดออกจากท่อแอร์หรือตัวแผงคอยล์เย็น ที่ลูกค้าส่วนใหญ่พบเจอคือปัญหาน้ำแอร์หยดนั้นเอง

5. แอร์เหม็นอับ

แก้ปัญหา แอร์เหม็นอับเมื่อแอร์อุดตันจากน้ำแข็งเกาะนานๆ รวมไปถึงสิ่งสกปรก ที่เกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็น หรือด้านในกรงกระรอก และไม่มีการทำความสะอาดให้ทั่วถึง ทั้งด้านในและด้านนอก อาจก่อให้เกิดการสะสมของคราบน้ำ สิ่งสกปรก ที่ถูกอัดฉีดจากแรงดันน้ำ กระเด็นเข้าด้านใน ทำให้เกิดการสะสมสิ่งสกปรก ส่งผลให้แอร์มีกลิ่นเหม็นเวลาใช้งาน แอร์เหม็นอับ

เพราะการล้างแอร์ทั่วไป อาจไม่เพียงพอ

การแก้ปัญหาแอร์เป็นน้ำแข็ง

1.   ขอคำปรึกษากับช่างผู้เชี่ยวชาญ

ขอคำปรึกษาในส่วนของเรื่องการป้องกัน แอร์น้ำแข็งเกาะ การใช้งานในครั้งต่อๆ ควรระมัดระวังในส่วนไหนมากขึ้น และวิธีปฏิบัติเมื่อเจออาการ น้ำแข็งเกาะ เช่นนี้ สามารถติดต่อฝ่าย Support ของทาง OF Air Service ได้ Line : @OFair หรือโทร 02-933-6200

2.   ให้ช่างตรวจสอบอุปกรณ์ภายในทุกจุด เพื่อป้องกันการชำรุด อาจก่อให้เกิดความเสียหายในภายหลัง

2.1 ช่างจะทำการตรวจสอบด้านในแผงรังผึ้ง รวมถึงด้านนอกแผงเพื่อหาจุดรอยรั่ว รอยชำรุด ที่อาจส่งผลให้น้ำยารั่วซึม นำไปสู่ปัญหาแอร์น้ำแข็งเกาะได้

2.2 ช่างตรวจสอบท่อเดินน้ำยาแอร์ว่ามีการขาดหรือรั่วซึมหรือไม่

2.3 ช่างทำการตรวจสอบ Compressor แอร์ด้านนอก ว่ามีจุดที่ชำรุด หรือรอยรั่วที่ Compressor หรือไม่

3.   ล้างแอร์ใหญ่ หรือตัดล้าง

นอกจากการล้างแอร์ แบบทั่วไป หรือล้างเล็ก เพื่อให้แอร์เย็น และประหยัดค่าไฟฟ้า ที่ควรจะทำทุก 3-6เดือน แล้ว

เราควรจะ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี เราควรจะล้างใหญ่ เพื่อจัดการกับ คราบสิ่งสกปรก เชื้อโรค เชื้อรา ที่การล้างทั่วไป เข้าไม่ถึงออกไป แบบเป็นพิเศษบ้าง โดยมีความถี่อยู่ที่

1. ป้องกัน พื้นและเฟอร์นิเจอร์

1.1 ปูพื้น ด้วยผ้าร่มกันน้ำ และผ้าห่มกันรอย จากบันได เพื่อป้องกัน พื้นห้อง จากรอยขีดข่วน 

1.2 คลุมแอร์ ด้วยผ้าใบล้างแอร์ เพื่อป้องกัน เฟอร์นิเจอร์ และกำแพง จากสิ่งสกปรก

2. ถอดชุดคอยล์เย็น (ด้านในอาคาร) เพื่อแยกชิ้นส่วน

2.1 เก็บล็อคน้ำยาแอร์

2.2 ถอดชุดคอยล์เย็น(ด้านในอาคาร) แยกออกจากคอยล์ร้อน(ด้านนอกอาคาร)

2.3 แยกชิ้นส่วนแอร์ทั้งหมด ออกจากกัน

3. ทำความสะอาด แผงรังผึ้ง

3.1 ฉีดล้างแผงรังผึ้งด้วยน้ำเปล่า จากทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อเอาสิ่งสกปรกออก

3.2 แช่แผงรังผึ้ง ด้วยน้ำยากัดแผงรังผึ้ง เพื่อกัดเอาสิ่งสกปรกพี่ฝังแน่น ให้หลุดออก แล้วฉีดล้างออก ด้วยน้ำเปล่า

3.3 แช่แผงรังผึ้ง ด้วยน้ำยากัดแผงรังผึ้ง แล้วฉีกน้ำล้างออก อีกครั้งเผื่อความมั่นใจ

4. ทำความสะอาด พัดลมและรางระบายน้ำ

4.1 ฉีดล้าง ทำความสะอาด พัดลมแอร์

4.2 ฉีดล้าง ทำความสะอาด รางระบายทั้งข้างหน้้าและข้างหลัง

4.3 เช็ดถู ให้มั่นใจ ว่าไม่มีสิ่งสกปรกติดอยู่

5. ติดตั้งแอร์กลับเข้าที่เดิม

5.1 ประกอบส่วน คอยเย็นและร้อน เข้าด้วยกันใหม่

5.2 ตรวจเช็ค การทำงานของแอร์ อีกครั้งเผื่อความมั่นใจ

6. เก็บกวาด ให้เรียร้อย

6.1 เก็บกวาด อะไหล่ เศษวัสดุ ฝุ่นผง จากการทำงาน ทั้งภายในอาคาร และนอกอาคาร

6.2 เลื่อน เฟอร์นิเจอร์ ตู้ โต๊ะ กลับเข้าตำแหน่งเดิม เพื่อให้สภาพหน้างาน กลับมาเหมือน ก่อนการทำงาน ทุกประการ

 

สรุป : ข้อควรระวัง และวิธีการแก้ปัญหาแอร์น้ำแข็งเกาะ

วิธีการติดตั้งแอร์ คุณสามารถทำด้วยตอนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงจำเป็นต้อง มีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา หรือต้องมีการเตรียมการที่รัดกุมและระวังอย่างมาก เพราะในแต่ละขั้นตอน มีการจัดการเชิงเทคนิคค่อนข้างสูงและซับซ้อน OF Air เราจึงมีช่างผู้เชี่ยวชาญ คอยให้บริการ ล้างแอร์ ถอดแอร์ ติดตั้งแอร์ และโยกย้าย แบบครบวงจร

 

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

ข้อควรระวัง และ วิธีการ ติดตั้งแอร์ โยกย้ายแอร์

บริการติดตั้งแอร์ ถอดแอร์ ซ่อมแอร์ ติดตั้งแอร์ โยกย้ายแอร์ ล้างแอร์ OFAir จำหน่ายแอร์

ติดตั้งแอร์ โยกย้ายแอร์

ข้อควรระวัง และวิธีการ ติดตั้งแอร์ โยกย้ายแอร์มีอะไรบ้าง

ข้อควรระวังในการ ติดตั้งแอร์ มีอะไรบ้าง ?

  1. หาตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้ง และคำนึงถึงขนาด BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง
  2. ควรระวังขั้นตอนการขันแพร์ หรือขันน็อทที่เชื่อมต่อระหว่างคอยล์เย็นกับคอยล์ร้อน
  3. ควรระมัดระวังในการเชื่อมต่อสายไฟทุกจุดของอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตในตัวแอร์
  4. ควรระมัดระวังในการเดินท่อทองแดง อย่าให้เกิดการบีบตัวของท่อ หรือรั่วไหล อาจทำให้เกิดปัญหาแอร์ไม่เย็น แอร์รั่วในอานาคตได้
  5. ควรระมัดระวังในการสวมท่อยางแอร์ ไม่ให้เกิดรอยรั่ว ควรพันท่อยางให้สนิดและแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด น้ำหยด น้ำซึม ตามท่องแอร์
  6. ควรระมัดระวังจุดที่ติดตั้งคอยล์ร้อน ไม่ให้แคบเกินไป เพราะจะส่งผลให้คอยล์ร้อนระบายความร้อนไม่ได้อย่างที่ควร และทำงานหนักจนเกินไป

 

วิธีการ ติดตั้งแอร์ มีขั้นตอนอะไรบ้าง ?

  1. หาตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม กับขนาดห้อง

เราควรบล็อกน้ำยาแอร์ที่ตัวคอยล์ร้อนก่อน การบล็อกน้ำยาแอร์คือ การปิดระบบน้ำยาแอร์ เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของน้ำยา และเพื่อไม่ให้เกิดการเติมน้ำยาแอร์ซ้ำๆ ในรอบถัดไป

2. จัดเตรียมอุปกรณ์ในการติดตั้งแอร์ ให้ครบถ้วนพร้อมใช้งาน

ปิดการทำงานของเครื่องแอร์ และทำการปิดระบบไฟฟ้าที่เบรกเกอร์ไฟฟ้า เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูด และเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

3. เริ่มขั้นตอนการติดตั้งคอยล์เย็น

3.1 ติดตั้งเพดตัวยึดคอยล์เย็นให้แน่นหนา และให้ได้ระดับที่เหมาะสม ไม่เอียง

3.2 นำตัวคอยล์เย็นประกอบขึ้นสู่ที่ติดตั้ง

3.3 เดินสายไฟระหว่างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน

3.4 เดินท่อทองแดงระหว่างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน

4. ติดตั้งคอย์ลร้อนที่ตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่แคบจนเกินไป เพื่อการระบายความร้อนที่ดี

  1. ถอดฝาครอบตัวเครื่องออก
  2. ถอดสายไฟที่เชื่อมระหว่างตัวคอยล์เย็นกับคอยล์ร้อนออก
  3. ขันน็อทที่เชื่อมระหว่างคอยล์เย็นกับคอยล์ร้อนออก
  4. ยกตัวแอร์คอยล์เย็นออกจากที่ตั้ง
  5. ถอดที่ยึดตัวแอร์คอยล์เย็นออก

5. ทำการแวคคั่มน้ำยาแอร์

คือ การดูดอาการภายในท่อทองแดงออกให้หมด เพื่อไม่ให้มีความชื่นในตัวท่อ อาจจะส่งผลให้ แอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่เย็นอย่างที่ควร

6. หลังจากแวคคั่มเสร็จสิ้น จากนั้นเริ่มการ ปล่อยนำยาแอร์เข้าระบบ ที่ตัวคอยล์ร้อน

ถอดสายไฟที่ตัวคอยล์ร้อนที่เชื่อมต่อระหว่างคอยล์เย็นออกเพื่อทำการถอดตัวแอร์ระหว่างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน ออกจากกัน

7. เปิดระบบไฟฟ้า เพื่อเปิดเครื่องเทสระบบการทำงานของแอร์

ทำการยกตัวเครื่องคอยล์เย็นลงจากที่ตั้ง เพื่อทำการโยกย้าย ไปที่ตั้งใหม่เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

เสร็จสิ้นขั้นตอนการติดตั้งแอร์ โยกย้ายแอร์ สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการติดตั้งแอร์ด้วยตัวเอง เป็นแอร์เครื่องใหม่ หรือจะย้ายตำแหน่งแอร์ในบ้าน ก็สามารถทำตามวิธีข้างต้นได้ แต่หาก

ติดตั้งแอร์

สรุป : ข้อควรระวัง และวิธีการถอดแอร์

วิธีการติดตั้งแอร์ คุณสามารถทำด้วยตอนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงจำเป็นต้อง มีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา หรือต้องมีการเตรียมการที่รัดกุมและระวังอย่างมาก เพราะในแต่ละขั้นตอน มีการจัดการเชิงเทคนิคค่อนข้างสูงและซับซ้อน OF Air เราจึงมีช่างผู้เชี่ยวชาญ คอยให้บริการ ล้างแอร์ ถอดแอร์ ติดตั้งแอร์ และโยกย้าย แบบครบวงจร

 

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

ข้อควรระวัง และ วิธีการ ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์

ถอดแอร์

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์

ข้อควรระวัง และวิธีการ ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์มีอะไรบ้าง

ข้อควรระวังในการ ถอดแอร์ มีอะไรบ้าง ?

  1. คุณจำเป็นต้องตัดระบบไฟฟ้า ปิดเบรกเกอร์
  2. ถอดฝา Body ออก ควรระวังอุปกรณ์แตกหัก ชำรุด สูญหาย เช่น จำนวนน็อต เกรียวข้อต่อระวังแตกหัก ระวังบานสวิงแตกหัก
  3. ระวังน้ำในตัวถาดแอร์หยดลงพื้น ทำให้เกิดความชื่นสกปก
  4. ระวังแผงรังผึ่งบาดมือ ทำให้เกิดอันตรายต่อผ้ใช้ได้
  5. ระวังในการถอดท้อทองแดงที่เชื่อมระหว่างคอยล์เย็นไปคอยล์ร้อน เกิดการชำรุด เช่น น็อทรูดผิดรูป (แฟร์รูดในภาษาช่าง)
  6. ขั้นตอนการประกอบอุปกรร์กลับคืนสู่สภาพปกติ ควรระวัง เรื่องน้ำหยด การตั้งระดับของเครื่องอยู่ในระดับมาตรฐานขนานกับพื้น ไม่เอียงซ้ายหรือขวา อาจทำให้เกิดปัญหาน้ำแอร์หยดในอนาคต และอุปกรณ์เสื่อมสภาพ

วิธีการ ถอดแอร์ มีขั้นตอนอะไรบ้าง ?

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 1.2

1. บล็อกน้ำยาที่ตัวคอยล์ร้อน

เราควรบล็อกน้ำยาแอร์ที่ตัวคอยล์ร้อนก่อน การบล็อกน้ำยาแอร์คือ การปิดระบบน้ำยาแอร์ เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลของน้ำยา และเพื่อไม่ให้เกิดการเติมน้ำยาแอร์ซ้ำๆ ในรอบถัดไป

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 2

2. ปิดแอร์ และทำการปิดระบบไฟฟ้าที่เบรกเกอร์ไฟฟ้า

ปิดการทำงานของเครื่องแอร์ และทำการปิดระบบไฟฟ้าที่เบรกเกอร์ไฟฟ้า เพื่อป้องกันไฟฟ้าดูด และเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 3

3. ปูพื้นด้วยผ้า และทำการคลุมผ้าเพื่อป้องกันสิ่งสกปก

ปูพื้นด้วยผ้า และทำการคลุมเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วยผ้าเพื่อป้องกันสิ่งสกปก หล่นใส่เฟอร์นิเจอร์
ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 4

4. เริ่มขั้นตอนการ ถอดอุปกรณ์แอร์คอยล์เย็น

  1. ถอดฝาครอบตัวเครื่องออก
  2. ถอดสายไฟที่เชื่อมระหว่างตัวคอยล์เย็นกับคอยล์ร้อนออก
  3. ขันน็อทที่เชื่อมระหว่างคอยล์เย็นกับคอยล์ร้อนออก
  4. ยกตัวแอร์คอยล์เย็นออกจากที่ตั้ง
  5. ถอดที่ยึดตัวแอร์คอยล์เย็นออก
ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 5

5. ขันน็อทที่ทำหน้าที่เชื่อมตัวคอยล์ร้อนกับคอยล์เย็นออก

ขันน็อตที่ทำหน้าที่เชื่อมตัวคอยล์ร้อนกับตัวเครื่องคอยล์เย็นออกจากกัน เพื่อทำการถอดการเชื่อมต่อออกจากัน และง่ายต่อการทำงาน

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 6

6. ถอดสายไฟที่ตัวคอยล์ร้อนที่เชื่อมต่อระหว่างคอยล์เย็นออก

ถอดสายไฟที่ตัวคอยล์ร้อนที่เชื่อมต่อระหว่างคอยล์เย็นออกเพื่อทำการถอดตัวแอร์ระหว่างคอยล์เย็นและคอยล์ร้อน ออกจากกัน

ถอดแอร์ โยกย้ายแอร์ 7

7. เคลื่อนย้ายตัวแอร์ ลงจากที่ตั้ง

ทำการยกตัวเครื่องคอยล์เย็นลงจากที่ตั้ง เพื่อทำการโยกย้าย ไปที่ตั้งใหม่เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

เสร็จสิ้นขั้นตอนการถอดแอร์ เพื่อนำไปติดตั้งในตำแหน่งใหม่หลังจากนั้น วิธีการติดตั้งแอร์ในตำแหน่งใหม่ คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ติดตั้งแอร์

สรุป : ข้อควรระวัง และวิธีการถอดแอร์

คุณสามารถทำด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ยังคงจำเป็นต้อง มีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา คอยให้คำแนะนำ หรือต้องมีการเตรียมการที่รัดกุมและระวังอย่างมาก เพราะในแต่ละขั้นตอน มีการจัดการเชิงเทคนิคค่อนข้างสูงและซับซ้อน OF Air เราให้บริการ ล้างแอร์ ซ่อมแอร์ ติดตั้งโยกย้ายแอร์ และ จำหน่าย

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

6 ข้อไม่ควรทำในการใช้งานแอร์ปรับอากาศ

6ข้อ ประหยัดแอร์

6 ข้อไม่ควรทำ

ในการใช้งานแอร์ปรับอากาศ

6 ข้อไม่ควรทำในการใช้งานแอร์ปรับอากาศ

1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน

2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี

3. ไม่ได้ตรวจสอบตำแหน่งก่อนติดตั้งแอร์

4. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น

5.อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด

6. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า

ประหยัดแอร์

1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน

ผู้ใช้งานทั่วไปยังคงใช้งานแอร์เก่า ๆ ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะคิดว่ายังใช้งานได้อยู่ ซึ่งความจริงแล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกยังดูดี แต่ระบบภายในกับเสื่อมไปตามระยะเวลการใช้งาน โดยเฉพาะแอร์เก่า ๆ ที่ใช้งานมานานเกิน 15 ปี ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงรักษาที่แพงแล้ว ยิ่งใช้ยิ่งกินไฟเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งแอร์ปรับอากาศในตอนนี้ มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น ประหยัดแอร์ แถมยังมีฟังก์ชันเสริม ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ประหยัดแอร์ 2

2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี

นอกจากนี้ผู้ใช้งานบางคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็น จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไป ก็จะทำให้เครื่องทำงานหนักและกินไฟมากขึ้น เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดห้องของผู้ใช้งานโดยคำนวนจากสูตร 

พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม 

การประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง มีดังต่อไปนี้ 

    • ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร
    • ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร
    • ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร
    • ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร
    • ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร
    • ห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร 
ประหยัดแอร์ 3

3. ไม่ได้ตรวจสอบตำแหน่งก่อนติดตั้งแอร์

ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ก็สำคัญ เพราะหากติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก ประหยัดแอร์ และประหยัดค่าไฟได้อีก โดยพื้นที่ที่ติดตั้งแอร์ควรเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของบังทางลม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมุมอับ การติดตั้งแอร์บนผนังบ้านที่รับแสงแดดจัดหรือทิศตะวันตกเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนัก รวมถึงไม่ติดตั้งแอร์บริเวณใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง เนื่องจากจะทำให้ความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่อากาศภายในได้ง่าย
ประหยัดแอร์ 4

4. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น

ผู้ใช้งานหลายท่านคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากยิ่งขึ้น เพราะไม่ว่าปรับให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน ก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอ ๆ กันกับการปรับอุณหภูมิปกติอยู่ดี ทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่า
ประหยัดแอร์ 5

5. อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด

แม้ว่าการตั้งอุณหภูมิ 25 องศา จะช่วยประหยัดไฟ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วควรใส่ใจดูแลรักษาตัวเครื่องไปพร้อมกัน โดยหมั่นตรวจเช็กระบบและทำความสะอาดเแอร์อย่างน้อยปีละ ครั้ง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ประหยัดแอร์ 6

6. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า

แม้จริง ๆ แล้วการเปิดแอร์ค้างไว้หลายชั่วโมงติดต่อกันจะเปลืองไฟมากกว่า แต่การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ส่งผลเสียกับตัวเครื่องไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องทำงานหนักและอายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

ใช้งานแอร์อย่างไรให้ประหยัดที่สุด

ประหยัดแอร์

ใช้งานแอร์อย่างไร

ให้ประหยัดไฟ และถูกต้องที่สุด

ใช้งานแอร์อย่างไรให้ประหยัดที่สุด

ผู้ใช้งานหลายๆท่านคงเคยมีปัญหากลุ้มอกกลุ้มใจ ทุกสิ้นเดือนเวลาได้รับบิลค่าไฟ ซึ่งปัจจัยหลัก ๆ มาจากปัญหา แอร์กินไฟ ที่พยายามประหยัดสุด ๆ แล้วค่าไฟก็ยังแพงเกินรับไหวอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนี้มาลองเช็คกันหน่อยดีกว่าครับว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง และมีวิธี ใช้งานแอร์แบบประหยัด วิธีไหนบ้างที่ยังไม่ได้ลองทำ

1. ติดตั้งคอมเพรสเซอร์ในที่ร่ม และอากาศถ่ายเท

สำหรับในกรณีที่กำลังจะติดตั้งแอร์ตัวใหม่ หรือรีโนเวทบ้านแล้วต้องการย้ายตำแหน่งการติดตั้งแอร์อยู่แล้วก็แนะนำให้ลองตรวจสอบดูเรื่องของการติดตั้งคอมเพรสเซอร์ว่ามีการติดตั้งในบริเวณที่เหมาะสมหรือไม่ โดยตำแหน่งที่เหมาะสมคือการติดตั้งในพื้นที่ที่เป็นที่ร่ม และอากาศถ่ายเทได้ดี เพราะคอมเพรสเซอร์มีหน้าที่ในการระบายความร้อนโดยตรง จึงไม่ควรติดตั้งในพื้นที่อับ อากาศไม่ค่อยถ่ายเท หรือพื้นที่ที่ได้รับแดดโดยตรง รวมถึงบริเวณดาดฟ้า หรือพื้นปูนที่ต้องตากแดดตากฝนอยู่เป็นประจำด้วยครับ

2. ล้างแอร์อย่างสม่ำเสมอ

บ้านไหนที่ติดตั้งแอร์มาสักระยะแล้ว และได้มีการใช้งานแอร์อย่างต่อเนื่องมาสักพักก็อาจจะสังเกตได้ว่าแอร์ที่ใช้อยู่มีความสามารถในการทำความเย็นลดลง นั่นเพราะเมื่อใช้งานมาสักพักจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปสะสมในตัวแอร์ หากปล่อยให้สะสมไว้นาน ๆ ก็จะไปขัดขวางการทำงานของมอเตอร์แอร์ รวมถึงส่วนต่าง ๆ ถือเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของแอร์ที่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าเดิม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ แอร์กินไฟ กว่าปกติครับ อีกทั้งหากฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำหยดตามมาอีก

โดยทั่วไปแล้วการล้างแอร์ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างต่ำ แต่หากติดตั้งแอร์ในพื้นที่ที่เป็นปัจจัยให้แอร์ทำงานหนักกว่าปกติอย่างเป็นห้องที่ติดถนน มีฝุ่นควันฟุ้งกระจายเป็นประจำ หรือเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตก่อสร้างก็อาจจะต้องล้างแอร์ให้ถี่ขึ้น ประมาณทุก 2 – 3 เดือนก็ได้ครับ แต่สำหรับใครที่ยังไม่อยากเสี่ยงให้ช่างแอร์เข้ามาล้างแอร์ในช่วงที่โควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่ หากมีอุปกรณ์ล้างแอร์ก็สามารถจัดการล้างแอร์ด้วยตัวเองได้ครับ หรืออาจเลือกทำความสะอาดในเบื้องต้นด้วยการล้างแผ่นกรองหยาบที่ติดอยู่หน้าเครื่อง ซึ่งจะช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ครับ

3. หลีกเลี่ยงการใช้แอร์ในพื้นที่เปิด

พื้นที่เปิดโล่งในบ้านอย่างโถงบันได หรือโถงทางเดินระหว่างห้องต่าง ๆ ที่ไม่มีประตูกั้น ถือเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานแอร์เท่าไรนัก เพราะนอกจากแอร์ที่เปิดจะไม่ค่อยเย็นแล้วยังทำให้แอร์ทำงานหนัก เป็นการเปลืองพลังงาน และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของปัญหา แอร์กินไฟ ที่มีผลกระทบทำให้ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นด้วยครับ ดังนั้น หากจำเป็นต้องใช้งานแอร์ในพื้นที่แบบนี้จริง ๆ ก็อาจต้องลงทุนกับการปรับพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ปิดมิดชิดเสียก่อน

โดยการปรับพื้นที่ห้องให้มิดชิดอาจเลือกใช้ฉากกั้นห้อง PVC หรือใช้ผ้าม่านเนื้อหนาที่มีเส้นใยแบบถักทอแน่นมาช่วยปิดกั้นพื้นที่ที่ไม่จำเป็น รวมถึงการปิดม่านบริเวณหน้าต่างในห้องที่ใช้แอร์ด้วยครับ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้แอร์ทำงานหนักน้อยลง ความเย็นไม่ไหลออกนอกพื้นที่แล้ว ยังเป็นการช่วยลดการสะสมความร้อนภายในห้องจากแสงอาทิตย์ได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ

4. เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทก่อนเปิดแอร์

อีกหนึ่งวิธี เปิดแอร์แบบประหยัด ที่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน คือ การเปิดประตู หน้าต่าง หรือช่องลมต่าง ๆ ภายในห้องให้อากาศที่อับอยู่ภายในห้องถ่ายเทออกไปด้านนอก และเปิดรับอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกให้หมุนเวียนเข้ามาภายในห้องแทน ซึ่งนอกจากวิธีนี้จะช่วยระบายกลิ่นอับต่าง ๆ ให้ออกจากห้องไปแล้วยังช่วยระบายความร้อนที่มีการสะสมอยู่ให้ออกไปด้วย ดังนั้น เมื่อเปิดใช้งานแอร์ก็จะช่วยให้แอร์ทำความเย็นได้เร็วขึ้น และไม่ทำงานหนักจนเกินไปนั่นเองครับ

5. ตั้งอุณหภูมิแอร์ให้สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส สักเล็กน้อย

เทคนิค เปิดแอร์แบบประหยัด ที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดกันมานานนั่นคือการเปิดแอร์ที่ 25 องศาเซลเซียส แต่แท้จริงแล้วอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสถือเป็นระดับอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกสบายมากที่สุด จนมีการแนะนำกันให้เปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากลองปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้นสักหน่อยที่ประมาณ 26 – 28 องศาเซลเซียส แล้วรู้สึกว่ายังสบายตัวอยู่ก็แนะนำให้ใช้งานที่อุณหภูมินั้น ๆ แทนครับ เพราะยิ่งแอร์ถูกตั้งอุณหภูมิสูงเท่าไหร่ก็จะทำให้ แอร์กินไฟ น้อยลงเท่านั้นครับ

 

6. เปิดพัดลมช่วยไปด้วยขณะเปิดแอร์

หนึ่งในเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ แอร์กินไฟ น้อยลง คือ การเปิดพัดลมไปด้วยในขณะที่เปิดแอร์นั่นเองครับ เพราะการเปิดพัดลมก่อนการเปิดแอร์จะช่วยไล่ความร้อนภายในห้องให้หมดไปก่อน ทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก และหากเปิดพัดลมไปด้วยในขณะเปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วถึงทุกมุมห้อง และรู้สึกเย็นสบายกว่าการเปิดใช้แอร์เพียงอย่างเดียวครับ

7. หลีกเลี่ยงการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในขณะเปิดแอร์

เนื่องจากแอร์มีหน้าที่ทำความเย็น และรักษาความเย็นภายในห้องให้คงที่ การนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนไปใช้งานในห้องแอร์จึงทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อคงความเย็นไว้ให้มากที่สุด และส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การรีดผ้าในห้องแอร์ หรือการทำอาหารจากกระทะไฟฟ้า หรือแม้แต่การใช้หม้อต้มน้ำเพื่อชงเครื่องดื่มในห้องแอร์จึงเป็นเรื่องที่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรทำครับ

8. หลีกเลี่ยงการเพิ่มความชื้นในห้องแอร์

นอกจากความร้อนต่าง ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เข้ามาในห้องแอร์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน คือ ความชื้นนั่นเองครับ โดยความชื้นที่ว่านี้อาจจะมาจากต้นไม้ภายในห้อง ภาชนะใส่น้ำต่าง ๆ เครื่องทำความชื้น หรือแม้แต่เสื้อผ้าเปียก ๆ ก็ถือเป็นแหล่งที่มาของความชื้นที่ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้น นั่นเพราะตามหลักการทำงานของแอร์จะต้องใช้พลังงาน 30% ในการทำความเย็นตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ และพลังงานอีก 70% ก็ต้องใช้ไปกับการกำจัดความชื้นต่าง ๆ ให้อากาศในห้องแห้งที่สุดครับ ดังนั้น การที่มีแหล่งความชื้นในห้องมาก ๆ จึงส่งผลทำให้ แอร์กินไฟ ได้มากเช่นกัน ใครที่ตกแต่งห้องด้วยต้นไม้ เลี้ยงปลาในห้อง ปิดประตูห้องน้ำไม่สนิท หรือตากผ้าในห้องเป็นประจำ ก็ควรต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ใหม่ครับ

9. ตั้งเวลาปิดแอร์ล่วงหน้าก่อนเลิกใช้งาน

นอกจากเทคนิค เปิดแอร์ให้ประหยัดไฟ หลากหลายวิธีที่กล่าวมาแล้ว เทคนิคการปิดแอร์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เช่นกันครับ โดยเทคนิคง่าย ๆ ก็คือการวางแผนใช้งานแอร์ล่วงหน้า หรือการตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์นั่นเอง เช่น ก่อนตื่นนอน หรือก่อนออกจากห้องก็สามารถตั้งเวลาให้แอร์หยุดการทำงานก่อนเวลาสัก 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่มวลความเย็นยังคงกระจายตัวอยู่ภายในห้อง โดยอาจเปิดพัดลมเบา ๆ ช่วยกระจายความเย็นในระหว่างที่ปิดแอร์ไปแล้วแทนครับ

10. เปิดใช้งานแอร์เท่าที่จำเป็น

ไม่ว่าจะใช้เทคนิค เปิดแอร์แบบประหยัด ขนาดไหน หรือดูแลรักษาแอร์ดีแค่ไหน แน่นอนว่าวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าให้ได้มากที่สุดก็คือการเลือกเปิดใช้งานแอร์เท่าที่จำเป็น หรือใช้งานแบบพอดี ๆ นั่นเองครับ เพราะหลาย ๆ ครั้ง เหตุผลที่คนเราเปิดแอร์ไม่ได้มาจากความรู้สึกร้อน แต่มาจากความเคยชินที่ต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา แม้ว่าอากาศจะไม่ได้ร้อนมากก็ตาม หรือรวมไปถึงการเปิดใช้งานแอร์ภายในบ้านหลาย ๆ ห้องพร้อม ๆ กันด้วยครับ ดังนั้น หากบริหารการใช้งานแอร์ให้ดี ๆ ให้สมาชิกภายในบ้านอยู่รวมกันในห้องเดียวเพื่อเปิดแอร์เครื่องเดียว หรือเลือกเปิดแอร์เฉพาะช่วงเวลากลางวันที่ร้อนจริง ๆ ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากเลยครับ

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

แก้ปัญหา แอร์เหม็นอับ

แอร์เหม็นอับ

ปัญหา แอร์เหม็นอับ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยกับเครื่องปรับอากาศ ซึ่งหลายครั้ง ก็เป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ แม้เรียกช่างแอร์ทั่วไปๆ มาดำเนินการหลายครั้งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้หายได้ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้แก่ผู้ใช้งานเครื่องปรับอากาศ อยู่เสมอ

วันนี้  OF Air ในฐานะผู้ให้บริการ ล้างแอร์ ซ่อมแอร์ ติดตั้งแอร์ โดย จึงอนุญาติเล่าถึงสาเหตุ และวิธีการแก้ไข แบบวิทยาศาสตร์ ที่ได้ผลจริง จากประสบการทำงานของช่างแอร์ โดยวิศวกรของเรา ให้ท่านสมาชิกให้ฟังครับ

สาเหตุ ของแอร์เหม็นอับ

ปัญหาแอร์เหม็นอับ มักมีสาเหตุมาจาก มีฝุ่น คราบสิ่งสกปรก เชื้อโรคเชื้อรา สะสม อยู่ในแอร์

ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราเปิดแอร์เบาๆ (หมายถึงเปิดแอร์ ในอุณหภูมิสูง 25-27 องศาเซลเซียส) จะมีกลิ่นอับโชยออกมาจากแอร์
แต่ เมื่อเราเปิดแอร์แรงๆ (หมายถึงเปิดแอร์ ในอุณหภูมิต่ำ 15-23 องศาเซลเซียส) ปัญหานี้ก็จะดูเหมือนบรรเทาไป
ซึ่งก็เหมือนเป็นการบังคับให้เรา เปิดแอร์เย็นมากๆซึ่งก็จะทำให้ เสียค่าไฟฟ้ามาก โดยใช่เหตุ

ที่ปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นอับ ของแอร์ จะเบาบางลง เมื่อเราเปิดแอร์แรงๆนั้น ก็เพราะว่า
เมื่ออุณหภูมิต่ำๆ การระเหยของกลิ่น จากสิ่งสกปรก จะระเหยได้น้อยลงตามธรรมชาติ
แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น กลิ่นเหม็นก็จะกลับมาระเหยได้ดี เหมือนเดิม ทำให้กลับมามีกลิ่นอีก
ซึ่งสถานการณ์นี้ก็คล้ายๆ กับในตู้เย็นช่องแช่แข็ง ที่มีเนื้อที่มีกลิ่นแรงมากมาย แต่เรากลับไม่ค่อยได้กลิ่น ของเนื้อเหล่านั้น เมื่อเราเปิดช่องแช่แข็งนั้น

ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดย ล้างทำความสะอาด สิ่งสกปรกฝุ่นเชื้อโรคเชื้อราที่สะสมอยู่ออกไป

ทำไม ล้างแอร์เป็นประจำ แอร์ก็ยังเหม็น

การล้างแอร์แบบทั่วไปเริ่มต้นที่ 600 บาท/เครื่อง ที่เปิดฝาหน้าแอร์แล้วฉีดน้ำล้างทำความสะอาด รังผึ้งและรางระบายน้ำด้านหน้านั้น จะไม่สามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรก ที่ตกค้างสะสมอยู่รั่งผึ้งและรางระบายน้ำด้านหลังได้ ซึ่งมักจะเป็นสาเหตุ ของ กลิ่นเหม็นอับดังกล่าวได้ จึงเป็นที่มา ว่า “ทำไมล้างแอร์ทุก 6 เดือน อยู่แล้ว แอร์ถึงยังมีกลิ่นเหม็นอับอยู่?”

แอร์เหม็นอับ 5



แอร์เหม็นอับ 7


แอร์เหม็นอับ 8


แอร์เหม็นอับ 10


แอร์เหม็นอับ 11


แอร์เหม็นอับ 15




วิธีการแก้ปัญหา แอร์เหม็นอับ

ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลที่สุด คือ การล้างแอร์แบบตัดล้าง (หรือที่เรียกว่า ล้างใหญ่) ซึ่งจะเป็นการ ตัดแอร์ออกมาทั้งตัว แล้วทำการ แยกชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งรังผึ้ง ฝาหน้า ฝาหลัง และรางน้ำด้านหลัง มาทำการฉีดล้างทำความสะอาด ได้ทุกซอกทุกมุม จากทั้งทางข้างหน้า และหลัง
ทั้งนี้ สำหรับส่วนรังผึ้ง ที่เป็นแผงให้ความเย็นนั้น จำเป็นต้องล้างด้วย น้ำยาแบบพิเศษ เพื่อกัดสิ่งสกปรก เชื้อโรคเชื้อรา ทั้งหลายออกมาจากรังผึ้ง และ ล้างน้ำ

ซึ่งการล้างแอร์แบบตัดล่าง จะเป็นการ ตัดส่วนคอยล์ร้อนกับส่วนคอยล์เย็นออกจากกัน คล้ายๆกับการติดตั้งแอร์ใหม่ ซึ่งจะทำให้ สูญเสียน้ำยาแอร์ไปบางส่วน อีกทั้ง การตัดล้างนั้น มีขั้นตอน ในการล้าง มากกว่าการล้างแอร์แบบทั่วไป ทำให้ ทำให้ค่าบริการล้างแอร์แบบตัดล้าง เริ่มต้นที่ 1,600 บาท/เครื่อง ซึ่งจะสูงกว่าล้างแอร์แบบทั่วไปมาก ล้างแอร์ใหญ่

แอร์เหม็นอับ 9

แอร์เหม็นอับ 7

แอร์เหม็นอับ 14

การป้องกันปัญหา แอร์เหม็นอับ

ดังนั้น โดยทั่วไป เพื่อป้องกันปัญหาแอร์เหม็นอับ เราจึงควรจะล้างแอร์แบบทั่วไป ทุก 3-6เดือน เพื่อล้างฝุ่นละอองสะสมออกไปบ้าง เพื่อให้แอร์ประหยัดไฟ
ส่วน คราบสิ่งสกปรก เชื้อโรคเชื้อรา ที่จะนำมาซึ่งปัญหากลิ่นเหม็นอับนั้น นั้น ทุก 3-5ปี ก็ควรจะล้างแอร์แบบตัดล้าง สักครั้งนึง

สรุปปัญหา แอร์เหม็นอับ

ปัญหาแอร์เหม็นอับ เกิดจาก เศษฝุ่น สิ่งสกปรก เชื้อโรคเชื้อรา สะสมอยู่ในแอร์ ส่วนด้านหลัง ซึ่งการล้างแอร์แบบทั่วไป ไม่สามารถล้างออกได้ ดังนั้น จึงต้องใช้การล้างแอร์แบบตัดล้าง เพื่อการแก้ปัญหานี้

จองคิวล้างแอร์ใหญ่ตอนนี้


ทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้การสร้างสรรค์ โดย
กอสิน ศุภฤทธิธำรง : OF Air
29 มกราคม 2565
ผู้ใด ละเมิด ทำซ้ำ เลียนแบบ โดยไม่ได้รับอนุญาต
มีโทษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

วิธีเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟ เหมาะกับขนาดห้อง

เลือกซื้อแอร์ [ปก][1]

เลือกซื้อแอร์ อย่างไร ?

เทคนิค เลือกซื้อแอร์ ให้ประหยัดไฟ และเหมาะกับขนาดห้อง

เทคนิค เลือกซื้อแอร์ ให้ประหยัดไฟและเหมาะกับขนาดห้อง

OFair แนะนำการ เลือกซื้อแอร์ ไม่ว่าจะหยุดพักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆ หรือ Wrok Form Home  ก็ตามแต่ ที่แน่ๆคือ แอร์ต้องเปิดในช่วงนี้ ไม่งั้นอยู่ไม่ได้เพราะมันร้อนเหลือเกิน ถ้าไม่เปิดแอร์คงไม่มีสมาธิทำงาน ที่สำคัญตามมาซึ่งค่าไฟที่ต้องจ่ายตอนสิ้นเดือน ต่อให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือค่าไฟ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้เท่าไหร่

จะเป็นการดีกว่าหากเลือกใช้เครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้องและประเภทการใช้งาน เรามาดูกันดีกว่าเลือกซื้อแอร์ต้องคำนึงกี่เรื่อง อะไรบ้าง ?

เลือกซื้อแอร์ อย่างไร

เลือกซื้อแอร์ BTU คืออไร ?

BTU ย่อมาจาก British Themal Unit คือขนาดความสามารภการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ

โดย 1 ตันความเย็น = 12000 BTU

แอร์มีกี่ประเภท

แอร์แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ Econo Air และ Inverter Air ซึ่งก็จะมีหลักการทำงานที่ต่างกัน และใช้กับรูปแบบห้องที่ไม่เหมือนกัน

1. Econo Air 

อีโคโน แอร์ เป็นแอร์ระบบธรรมดา มีลักษณะการทำงานจะเป็นแบบกำหนดอุณหภูมิคงที่ (Fixed Speed) กล่าวคือ ถ้าตั้งค่าความเย็นไว้ที่อุณหภูมิ 25 องศา คอมเพรสเซอร์ จะตัดการทำงานต่ำกว่าค่าอุณหภูมิที่ผู้ใช้ตั้งไว้ 1-2 องศา (ที่อุณหภูมิ 23-24 องศา) เพื่อให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำตลอดเวลา และเมื่อเวลาที่อุณหภูมิห้องสูงขึ้น คอมเพรสเซอร์ ก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบ 100%

แอร์ประเภทนี้ที่ช่องประหยัดไฟเบอร์ 5 จะมีตัวอักษร EER (Energy Efficiency Ratio) ที่ช่องประสิทธิภาพ จะมีตัวเลขเขียนไว้ ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งประหยัดไฟมากนั่นเอง ข้อเสียของ Econo Air เวลาคอมเพรสเซอร์ตัดการทำงานเพราะอุณหภูมิได้ระดับแล้วนั้น เมื่ออุณหภูมิกลับมาเกินระดับที่ตั้งไว้ 1-2 องศา คอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานอีกครั้งทำให้เปลืองไฟเสมือนรถวิ่งแล้วจอดเรื่อย ๆ

ที่สำคัญเมื่ออากาศสลับเย็น ร้อนไม่คงที่ตลอดเวลาแบบนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว เวลานอนอาจหลับๆ ตื่นๆได้ทั้งยังมีเสียงดังจากการกระชากไฟทุกครั้งเมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน

2. Inverter Air 

อินเวอร์เตอร์ เป็นแอร์ที่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยตัวเองตามสภาพแวดล้อม จะมีตรวจจับอุณหภูมิอยู่หลายตัวทำให้ได้ค่าที่แม่นยำ ความเย็นในห้องจะเสถียรกว่า ระบบการทำงานของ Inverter Air คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงานที่ 120% และเมื่อห้องมีอุณหภูมิลดลงตามผู้ใช้กำหนดคอมเพรสเซอร์ก็จะไม่หยุดการทำงานเพียงแต่จะลดรอบการทำงานลงทำให้ไม่กินไฟเหมือนกับ Econo Air ไม่เกิดการกระชากไฟ เครื่องทำงานเงียบ อุณหภูมิเย็นสม่ำเสมอ

เทคนิคการเลือกซื้อแอร์ ?

เมื่อเราทราบแล้วว่าแอร์มี 2 ประเภทหลักๆ แต่การเลือกซื้อแอร์นั่นยังมีตัวประกอบการตัดสินใจอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่

1. ขนาดห้อง

11-14 ตร.ม = 9000 BTU
14-18 ตร.ม = 12000 BTU
21-27 ตร.ม = 18000 BTU
25-32 ตร.ม = 21000 BTU
28-36 ตร.ม = 24000 BTU
30-39 ตร.ม = 25000 BTU
35-45 ตร.ม = 30000 BTU
42-54 ตร.ม = 35000 BTU
56-72 ตร.ม = 48000 BTU

2. ประเภทการใช้ของห้อง

สำหรับห้องนอน หรือห้องที่ไม่มีการเข้าออกบ่อย ๆ ควรเลือกใช้แอร์ระบบ
Inverter Air
ส่วนห้องที่มีการเข้าออกบ่อยๆ เช่น ห้องรับแขก ออฟฟิศ โชว์รูมสินค้า หรือห้องที่มีความผันแปรของอุณหภูมิมากกว่าควรเลือกใช้
Econo Air

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

น้ำแอร์มีอายุการใช้งานเท่าไหร่ ?

รู้หรือไม่ ?

น้ำยาแอร์ มีอายุการใช้งานเท่าไหร่ ?

จำเป็น .. ต้องเติม น้ำยาแอร์ ไหม ?

ลูกค้าหลายๆท่านที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการเติม น้ำยาแอร์ ยังมีความสงสัยว่าต้องเติมน้ำแอร์ไหม ต้องเติมน้ำยาแอร์ตอนไหน น้ำยาแอร์หายไปได้ยังไง แอร์ไม่เย็นเติมน้ำยาแอร์เข้าไปเลยได้หรือป่าว หรือหลายๆครั้งที่ลูกค้าต้องตกเป็นเหยื่อของช่างแอร์ในคราบโจรที่หลอกเติมน้ำยาแอร์ให้เราไปบ้าง

หากว่าลูกค้าท่านไหนมีความสงสัยแบบนี้อยู่ วันนี้ผมจะมาเจาะลึกว่าเราควรเติมน้ำยาแอร์ หรือไม่!! กันครับ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าน้ำยาแอร์เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้แอร์บ้านของเรามีความเย็นออกมา หากขาดสิ่งนี้ไปแอร์บ้านของเราก็อาจจะไม่มีความเย็นออกมา หรืออาจจะเป็นปัจจัยอื่นๆที่ทำให้แอร์ไม่เย็นก็เป็นได้ จะว่าไปแล้วระบบน้ำยาของแอร์บ้านโดยทั่วไปแล้วเราเรียกกันว่า ระบบกึ่งปิดกึ่งเปิด ซึ่งไม่ใช่ระบบปิดที่สมบูรณ์ ซึ่งนั้นก็ทำให้ระบบน้ำยามีโอกาสที่จะรั่ว หรือซึมออกไปได้ ไม่แปลกอะไรครับ แต่ .. เดี๋ยวก่อนครับ ไม่ใช่ว่าแอร์ทุกเครื่องจะมีโอกาสรั่ว หรือซึมเหมือนกันทั้งหมด หากได้รับการติดตั้งที่ดี ผลิตภัณฑ์ที่ดี โอกาสที่น้ำยาแอร์จะรั่ว หรือซึมหายไป ก็เป็นไปได้น้อยมากครับ

น้ำยาแอร์เติมแล้วใช้งานได้นานเท่าไหร่ น้ำยาหมดมีจริงไหม ?

     มาถึงคำถามที่หลายคนอยากรู้ นั่นก็คือเรื่องของการเติมน้ำยาแอร์ ว่าเราควรจะเติมน้ำยาแอร์บ่อยแค่ไหน บางคนบอกว่าน้ำยาแอร์โดยปกติแล้วไม่ต้องเติมกันบ่อยๆ สาเหตุที่ต้องเติมบ่อยเนื่องมาจากระบบทำงานผิดปกติหรือเกิดอาการรั่วเสียมากกว่า วันนี้เราจะมาไขข้อข้อใจและข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาการเติมน้ำยาแอร์กัน

     ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องของการเติมน้ำยา มาเริ่มกันที่การทำความเข้าใจกับระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศที่เราเรียกว่าแอร์กันก่อน แอร์นั้นประกอบด้วยระบบการทำงาน 3 ส่วน คือ คอนเดนซิ่ง คอมเพรสเซอร์ และที่ช่วยควบคุมการระเหย โดยทั้ง 3 ส่วนต้องทำงานประกอบกันเป็นปกติถึงจะทำให้เกิดความเย็นได้ โดยใช้สารให้ความเย็นที่เรียกว่าน้ำยาแอร์เปลี่ยนให้อากาศร้อนจากภายนอกเป็นของเหลวก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นส่งผ่านออกไปอีกขั้นตอนหนึ่ง ส่วนคอมเพรสเซอร์กับคอนเดนซิ่งก็คือส่วนของแอร์ที่มีพัดลมวางอยู่ข้างนอก ทำหน้าที่เปลี่ยนอากาศภายนอกที่มีความดันต่ำเป็นของเหลวด้วยความดันสูงไหลเข้าสู่คอนเดนซิ่งเพื่อกรองเอาความร้อนจากของเหลวออกไปไม่ให้เกิดการระเหย จากนั้นของเหลวจะไหลต่อเข้าไปที่ส่วนควบคุมการระเหยที่อยู่ภายในเปลี่ยนเป็นอากาศเย็นออกมาจากเครื่องปรับอากาศให้เราได้มีอุณหภูมิที่เย็นฉ่ำอย่างสบายกันในทุกวันนั่นเอง

     ส่วนข้อเท็จจริงสำหรับการเติมน้ำยาแอร์คือความระบบน้ำยาแอร์นั้นเป็นระบบปิด โดยปกติแล้วถ้าแอร์ทำงานและให้ความเย็นตามปกติหรือท่อน้ำยาแอร์ไม่รั่วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมน้ำยาแต่อย่างใด ส่วนการระเหยของน้ำยาแอร์ที่จะทำให้น้ำยาแอร์มีปริมาณลดลงนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้แต่ระยะเวลานานมาก คำถามที่ว่าทำไมเวลามีช่างมาล้างแอร์แล้วถึงชอบบอกว่าน้ำยาแอร์ขาดต้องเติมเพิ่มอันนี้จะโดนช่างหลอกใช่หรือไม่ ข้อนี้คำตอบคือทั้งเป็นไปได้และอาจจะโดนหลอกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ควรจะมีไว้ติดตัวอีกอย่าง คือ การตรวจเช็คน้ำยาแอร์ด้วยตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่โดนช่างหลอกอีกต่อไป วิธีการก็คือ เปิดแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจนแอร์เย็น แล้วไปเช็คตรงตู้คอมเพรสเซอร์ถ้าพัดลมทำงานแล้วมีลดร้อนปล่อยออกมาแสดงว่าแอร์ทำงานตามปกติ ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำยาแอร์ แต่หากลมที่ออกมาจากคอมเพรสเซอร์เย็นแสดงว่าน้ำยาแอร์น้อยหรือคอมเพรสเซอร์ทำงานผิดปกติ อาจจะต้องเรียกว่าแอร์มาตรวจสอบว่ามีน้ำยาแอร์รั่วหรือเปล่า ส่วนการตรวจเช็คอีกวิธีหนึ่งคือให้สังเกตท่อน้ำยาแอร์ด้านนอกว่ามีน้ำแข็งเกาะหรือไม่หากพบว่ามีน้ำแข็งเกาะอาจเป็นไปได้ว่าน้ำยาแอร์ขาดเนื่องจากท่อแอร์รั่วเช่นกัน

     น้ำยาแอร์ก็คือสารเคมีชนิดหนึ่งที่ผสมผสานกันจนกลายเป็นน้ำยา มีคุณสมบัติทำความเย็นได้ ถ้าถามว่าน้ำยาแอร์สามารถอยู่ได้นานแค่ไหน คำตอบของผมคือ อาจจะนานกว่าอายุแอร์ที่เราใช้อีกครับ หรือว่าแอร์พังแล้ว น้ำยาแอร์ยังอยู่ในระบบเลยครับ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าหากไม่มีการรั่ว หรือมีจุดซึม น้ำยาแอร์ก็สามารถใช้ไปได้นานๆเลยครับ

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

น้ำแอร์หยด เกิดจากอะไร ?

น้ำแอร์หยด

น้ำแอร์หยด เกิดจากอะไร ?

วิธีแก้ไขปัญหา น้ำแอร์หยด น้ำแอร์รั่วไหลเบื้องต้น

ปัญหา น้ำแอร์หยด น้ำแอร์รั่วไหลตามท่อ

ปัญหาน้ำแอร์หยดด้านในนี่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยตามบ้านทั่วไป ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มักจะพาความรำคาญจากความเปียกชื้น และยังอาจทำให้เกิดอันตรายจากไฟรั่วได้อีก สาเหตุที่ทำให้น้ำแอร์หยดเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน วันนี้เราจะมาแนะนำถึงสาเหตุและวิธีแก้ไข ในกรณีที่เกิดน้ำแอร์หยดครับ

สาเหตุ

1. เกิดจากถาดหรือท่อทิ้งน้ำนั้นตัน ทำให้น้ำที่เกิดจากกระบวนการฟอกอากาศ ไม่สามารถระบายออกไปได้ จึงล้นและไหล ย้อนกลับมา กลายเป็นน้ำที่หยดซึมมาจากตัวแอร์ในที่สุด

2. ถาดคอยล์ด้านหลังของแผงคีบแอร์นั้นเกิดตัน และทำให้เกิดมีหยดน้ำเกาะอยู่นอกตัวแอร์

3. ถาดน้ำทิ้งเกิดการชำรุด เช่นหลุด หรือแตก

4. การเดินท่อภายในของช่างนั้นไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้หุ้มท่อไม่ได้มาตรฐาน และเกิดหยดน้ำเกาะรอบๆ ตัวจนหยดออกมานอกตัวแอร์ได้ในที่สุด

6 วิธีแก้ไข ดังนี้

น้ำแอร์หยด 1
1. ควรทำความสะอาดโดยการใช้โบลเวอร์ (Blower)
หรือเครื่องเป่าไฟฟ้า ไล่น้ำออกให้แห้ง โดยบริเวณที่เน้นมากๆ คือท่อน้ำทิ้งและบริเวณปลายท่อ
น้ำแอร์หยด 2

2. แก้ไขโดยการล้างแอร์

ซึ่งหากผู้ใช้งานมีความชำนาญก็สามารถถอดส่วนประกอบ หรือท่อแอร์ออกมาล้างได้เลย หรือหากไม่มีความชำนาญ สามารถเรียกช่างล้างแอร์ที่มีความชำนาญจะดีกว่า
น้ำแอร์หยด 3

3. หากแอร์นั้นมีความสกปรกมาก

เช่นฝุ่นหรือมีคราบสกปรกไปเกาะอยู่จำนวนมาก เครื่องจะระบายความเย็นออกมาไม่ทัน ทำให้เกิดน้ำแข็งจับและกลายเป็นหยดน้ำออกมานอกเครื่องได้ในที่สุด กรณีนี้ควรติดต่อเรียกช่างแอร์จะดีกว่าครับ เพราะต้องทำการรื้อเครื่องดูจุดที่สกปรกซึ่งอยู่ภายในเครื่องแอร์นั่นเอง
น้ำแอร์หยด 4

4. อีกสาเหตุที่พบได้บ่อยคือน้ำยาแอร์มีน้อยจนเกินไป

หรืออาจเกิดจากการรั่วซึมของน้ำยา ควรติดต่อช่างแอร์โดยด่วน เพราะน้ำยาแอร์นี้เป็นส่วนที่สำคัญต่อการเกิดความเย็น ถ้าหากมีน้อยเกินไปจะทำให้ตัวแอร์นั้นปรับอากาศได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจทำให้เครื่องรวนหรือพังไปเลยก็ได้
น้ำแอร์หยด 5

5. ตรวจดูว่าภายในเครื่อง

มีสัตว์จำพวกหนู หรือแมลงเข้าไปอาศัยหรือตายติดอยู่หรือไม่ เพราะบางครั้งสัตว์จำพวกนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตันของท่อแอร์ภายในเครื่องได้
น้ำแอร์หยด 6

6. ตรวจดูถาดน้ำทิ้ง

หากพบว่าเลื่อน หรือเคลื่อน ควรทำการแก้ไขให้อยู่ในสภาพเดิม
การแก้ปัญหาน้ำแอร์หยดนั้น ทางที่ดีควรติดต่อเรียกช่างแอร์ หรือคนที่มีความชำนาญจะดีกว่า
เพราะส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องของทางเทคนิค และเครื่องแอร์นั้นก็มีความซับซ้อนมาก
หากไม่ชำนาญหรือไม่เคยรื้อเครื่องมาก่อน อาจทำให้เกิดความเสียหายได้

ทุกปัญหาของท่าน เราจัดการให้

นัดหมายล้างแอร์

Line : @OFair

Tel : 02-933-6200

มือถือ : 085-118-3546 , 087-036-8885

โปรโมชั่นพิเศษ วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 เท่านั้น

ดูรายละเอียด การรับโปรโมชั่น

Don`t copy text!